Jul 13, 2020 16:51
a, one, another (2)
☁☁ ☁☁☁ ☁☁
ล่วงเลยมาจนบ่ายแก่ๆซึ่งเป็นเวลาที่จำนวนลูกค้าซาลงลูกจ้างในร้านจึงมีเวลาพักผ่อน บ้างก็กินมื้อเลยเทึ่ยงบ้างก็นั่งเม้ามอยเรื่องนั้นนี้อันเป็นกิจวัตรในห้องเล็กๆข้างครัวไปแล้ว
"สำลีนวดให้หน่อยสิ ยืนผัดหน้าเตาทั้งวันจนเหมื่อยทั้งตัวแล้วเนี่ย"
"ยังไม่ค่ำเลยจะมาทั้งวันอะไรวะ แล้วนวดเนี่ยไม่ฟรีนะโว้ย ร้อยบาทขาดตัวเหมาๆ"
"เอาร้อยนึงก็หมดค่าแรงวันนี้ป่ะวะ งกแท้"
"หมดอะไร เป็นพ่อครัวใหญ่ก็ได้เงินมากกว่าคนอื่นป่ะ งกคือกันป่ะ"
"โห เรียกพ่อครัวใหญ่ปานเชฟในโรงแรมงี้หรอพี่สำลี" หยินเอ่ยแซว
"ถ้าไม่ติดว่าน้องหยินเป็นหลานละก็ พี่ชาญคือได้เงินเยอะสุดแล้วปะ"สำลีว่าพลางหันมาต่อรองเรื่องนวดกับพ่อครัวใหญ่ประจำร้าน
"เออๆ ร้อยก็ร้อย รีบนวดก่อนหมดพัก" ชาญตัดความรำคาญด้วยการส่งแบงค์สีแดงให้อีกคน
"มันต้องยังงี้สิ เงินมางานเดิน ดูไว้นะเด็กๆ" สำลีบอกขณะลงมือนวดฝ่ามือเจ้าของเงิน
"พี่สำลีดูนวดดีนะทำไมไม่ทำร้านนวดไปเลยล่ะ" อัสตั้งข้อสงสัยเพราะดูเหมือนว่าสำลีจะมีฝีมือด้านนี้
"เคยอยู่ร้านนวดแผนโบราณมาก่อน แต่เจอคนอยากนาบเลยหนีจ๊ะ" สำลีเล่าติดตลกแต่เรื่องจริงคงไม่ตลก ไม่งั้นคงไม่มาทำงานในร้านอาหารที่นั่งได้ไม่กี่โต๊ะแบบนี้
"สวยจัดเลยเกือบได้เป็นเมียฝรั่ง" ชาญเสริมให้อีกนิด
"อ้าว แล้วทำไมไม่เอาอ่ะพี่สำลี เผื่อสบายนะ" หยินถามตาโต
"น้องหยินก็ว่าไปนั่น พูดคนละภาษาแถมเพิ่งเคยเจอหน้าครั้งแรกก็จะเอาซะแล้ว ตายแล่วๆ โดนฟันแล้วทิ้งแน่นอน" สำลีบอกยิ้มๆ " แล้วตอนนั้นก็ไม่ทันคิดถึงความสบาย คิดแต่กลัวตายมากกว่า แบบเห็นในทีวีบ่อยเรื่องโดนผัวฝรั่งฆ่าหมกศพ"
"ถ้าโชคดีก็ได้กินหรูอยู่สบายเลย" หยินว่า
"แต่ถ้าโชคร้ายก็ตายเมืองนอกนะ" ชาญสัมทับให้อีกครั้ง
"ก็จริง" หยินพยักหน้าเห็นด้วยก่อนจะเลื่อนสายตามองลอดหน้าต่างกระจกไปที่ทางเข้าร้าน "อัส มีลูกค้าเข้าร้านอ่ะ ไปดูดิว่าจะกินอะไร"
"ได้ครับคุณหลานเจ้าของร้าน" ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าป้าจิตนั่งดูอยู่แล้วแต่อัสก็ทำตามที่หยินบอกอย่างว่าง่ายเพราะมันเป็นงานของเขาอยู่แล้ว
อดแปลกใจไม่ได้เมื่อเห็นหน้าคนที่เพิ่งเดินเข้าร้านมา
"อ้าว พี่ธาดา นึกไงมาวันนี้ครับ"
"หิว..เรานี่ทำงานทุกวันจริงๆด้วยแฮะ"
"ผมจะโกหกทำไมอ่ะ แล้วบ่ายสามโมงนี่คือกินมื้อไหนฮะ"
"มีประชุมตั้งแต่สิบโมงเพิ่งเลิกก็เลยยังไม่ได้กินข้าวเลย"
"โห ที่บริษัทก็ต้องทำงานทุกวันหรอเนี่ย พี่จะกินอะไร วันนี้ได้เร็วแน่นอนเพราะครัวกำลังว่างมาก"
"ขอผัดผักรวมพิเศษใส่กุ้งเยอะๆ"
"กินผักแบบนี้แสดงว่า.." อัสละไว้ในฐานที่เข้าใจตรงกัน "บอกแล้วว่าอย่ากินกาแฟเยอะ อายุขึ้นเลขสามแล้วเนี่ยต้องดูแลหน่อยนะ รุ่นนี้หาอะไหล่ยากขึ้นทุกวันรู้ป่ะ" อัสว่าก่อนจะเดินหายไปทางครัว สักพักก็เดินออกมาพร้อมเครื่องดื่มแก้วใหญ่
"นี่เลยจัดไปชุดใหญ่ เคยกินป่ะ แดงมะนาวโซดา ไม่หวานมาก ออกเปรี้ยวซ่าอร่อยแน่นอน"
"มาบ่อยๆนี่คงลงพุงแน่นอนเหมือนกันป่ะ"
"โหย น้ำมะนาวแท้คันสดๆกับมือผมเอง ไม่อ้วนๆ พี่สูงหุ่นดีขนาดนี้เอาอะไรมาลงพุงครับ ถามคำ"
"น้ำแดง" พิธาดาตอบชัดเจน
"โหย ไม่เอาไม่พูด ผมก็กินทุกวันไม่เห็นอ้วน"
"หนักเท่าไร" เจอคำถามสวนกลับถึงกับนิ่ง
"ผมตัวเล็ก อ่ะๆ ผมเตี้ยก็เลยดูแน่นไปหน่อย แต่จริงๆไม่อ้วน พี่ก็ไม่อ้วนหรอก เชื่อผมๆ"
ระหว่างหว่านล้อมไร้ความน่าเชื่อถือไปเรื่อย อาหารที่สั่งไปเมื่อครู่ถูกนำมาเสิร์ฟโดยหยิน
"มาแล้วค่ะ กุ้งสดเด้งๆผัดผักรวมพริกสองเม็ดพร้อมข้าวหอมมะลินุ่มฟูร้อนๆ" หยินสาธยายซะจนอัสมองหน้า
"อะไรของแก แล้วข้าวมีนุ่มฟูด้วยหรอ"
"เพิ่มอรรถรสให้อาหารเฉยๆ แล้วก็ดูแลลูกค้าให้ดีด้วย เข้าใจนะ นายอัสนี" หยินพูดกำชับอย่างไม่จำเป็นกับเพื่อนแล้วเดินหลบฉากเข้าครัวไป
"เพี้ยนเพราะบ้าละครฮะ อย่าสนใจ"
และเป็นอีกครั้งหนึ่งที่พิธาดามานั่งกินข้าวโดยมีอัสนีนั่งคุยเป็นเพื่อน ซึ่งครั้งนี้ก็ไม่รอดพ้นสายตาหยิน นักเชื่อมโยงระหว่างจินตนาการและงานมโนในตำนาน
หลังจากจบสิ้นมื้ออาหาร อัสก็เดินออกมาส่งพิธาดาที่ลานจอดรถซึ่งอยู่ทางเขาปากซอย ทั้งคู่เดินคุยกันเรื่อยเปื่อยเป็นปกติแล้วและส่วนใหญจะเป็นอัสที่เล่านั่นนี่ให้คู่สนทนาฟังแทบไม่หยุดปากเลยก็ว่าได้ จะมีนานๆทีที่พิธาดาเป็นฝ่ายตั้งคำถามบ้าง
"เออนี่อัสเลิกวิ่งแล้วหรอ เดี๋ยวนี้พี่วิ่งทีไรไม่เคยเจอเลย"
"ก็ไม่ได้เลิกหรอก แต่แบบทำงานเพิ่มที่ใหม่ด้วยมันเลยไม่มีเวลาฮะ หมดแรงด้วยเลยวิ่งไปไหวแล้ว แฮะๆ"
"ทำอะไรอีกล่ะ แค่ช่วยงานในร้านนี้ก็ไปเรียนแทบไม่ไหวแล้วไม่ใช่หรอ"
"ไหวๆ คือตอนนี้มีเรียนแค่ไม่กี่ตัวไง ก็พอมีเวลาว่างมากขึ้นเลยไปทำร้านงานขายของจิปาถะ พี่เคยได้ยินป่ะแบบสินค้าทุกชิ้น69 แต่จริงๆราคาไม่เท่ากันหรอกแค่หลอกให้คนเข้าร้านไว้ก่อนงี้"
"อ้อ คิดจะเปลี่ยนเป้าหมายจากพ่อครัวไปเป็นพ่อค้าแทนแล้วสิ"
"พ่อครัวก็ยังอยากเป็นนะแต่เป้านี้มันยากไงเลยต้องหาเป้าอื่นสำรองไปก่อน แต่ขายของก็เงินดีนะผมว่า.. แบบว่าวันนึงถ้ามีลู่ทางผมก็อาจมีร้านเป็นของตัวเองก็ได้ ไม่ต้องใหญ่โตอยู่ในเมืองแบบนี้หรอก อาจจะเป็นห้องแถวสักที่แบบร้านข้าวป้าจิตก็ได้"
"อัส.. ที่เคยบอกว่าช่วยเรื่องเงินได้ พี่พูดจริงนะ"
"ไม่ๆๆๆ ผมอ่ะนะสัญญากับตัวเองเอาไว้ว่านอกจากเงินกู้ยืมเรียนแล้ว ชีวิตนี้จะไม่สร้างหนี้อะไรอีก เอาจริงก็ไม่อยากติดค้างใครเวลาจากไปจะได้ตายตาหลับไง" บอกพลางฉีกยิ้มสดใสไปอีก
"เป็นเด็กเป็นเล็กแค่นี้รีบคิดเรื่องตายทำไม ปลงซะแล้วหรอเรา"
"ก็เพราะไม่รู้ว่าจะตายช้าตายเร็วนี่ไงก็เลยอยากทำทุกอย่างให้เต็มที่กับชีวิตจะไม่เสียดายว่าพลาดอะไรไปรึเปล่า ใช้ชีวิตคุ้มค่าสุดๆเลยไงผมเท่ห์ปะล่ะ"
"สุดๆ เออ ถ้าเรียนจบจะไปสมัครงานที่ไหนหรอ"
"กำลังตัดสินใจอยู่ครับ ตอนนี้เหมือนอยู่ฟรีเพราะป้าจิตเก็บค่าเช่าโคตรถูกแถมยังให้ค่าจ้างช่วยงานในร้าน คือถ้าเรียนจบมีงานทำจริงจังแล้วจะอยู่ฟรีมันก็ทุเรศตัวเองนิดๆ"
ร้านป้าจิตเป็นตึกแถวหนึงคูหาสามชั้นถึงมีขนาดไม่กว้างขวางนักแต่ก็ตั้งอยู่ในทำเลที่ดี ชั้นล่างสุดเปิดเป็นร้านอาหารตามสั่ง ชั้นสองเป็นห้องนอนของป้าจิตและห้องนอนหยินผู้เป็นหลาน ส่วนชั้นสามนอกจากจะเก็บของแล้วก็มีห้องที่ป้าจิตใจดีให้อัสอาศัยอยู่มาหลายปีแล้ว
"อันที่จริงผมไปหางานทำแถบชานเมืองก็ดีนะ เดินทางคงไม่แย่เท่าไร ค่าอยู่ค่ากินก็น่าจะสู้ไหวนะ จริงป่ะพี่"
"พี่ว่าทำงานแถวนี่ดีกว่านะ เงินเดือนน่าจะมั่นคงและสะดวกสบายกว่าเห็นๆ ว่าแต่เราคิดจะไปอยู่ที่ไหนล่ะ "
"โหย ผมเรียนสาขาหาง่ายทั่วไปแบบนี้ ทำงานที่ไหนก็ได้เงินไม่ต่างกันเท่าไรหรอก" อัสพูดพลางแสดงสีหน้าลำบากใจ "แต่ยังไม่ได้บอกหยินเลย อยากปรึกษามันนะแต่ถ้ามันรู้ว่าผมจะไปอยู่ที่อื่นมันคงฟาดงวงฟาดงาใส่ผมแน่เลย เครียดแฮะ"
"มีอะไรต้องเครียดอีก จะวุ่นวายหาที่อยู่ใหม่ทำไมถ้าจะต้องเช่าเขาเหมือนเดิม ถ้าลำบากใจเรื่องค่าอยู่กินก็แค่จ่ายเพิ่มให้เจ้าของร้านก็สิ้นเรื่อง"
"อืม ก็จริงของพี่ เดี๋ยวไปลองเกริ่นกับป้าจิตดูก่อน ถ้าแกไม่คิดจะขายหรือย้ายหนีไปไหน ผมก็คงขอเช่าห้องต่อไปเรื่อยๆจนกว่าจะมีเงินก้อนใหญ่ไปซื้อที่อยู่เป็นของตัวเองอ่ะแหละ" อัสนิ่งไปนิดก่อนบอกต่ออีกว่า "แต่ถ้าบังเอิญได้งานตจว. ผมก็คงย้ายไปตามที่ทำงานแหละ"
"ก็ถ้าเราบอกว่าทำงานอะไรก็ได้แล้วทำไมไม่ให้พี่หาให้ล่ะ"
"ไม่เอา เดี๋ยวเกิดมีอะไรผิดพลาดขึ้นมา พี่เองจะพลอยซวยไปด้วย คนระดับพี่อ่ะผมรับผิดชอบไม่ไหวนะ"
"ระดับพี่นี่คือยังไง ไหนบอกว่าเป็นเพื่อนกันได้"
"ก็ตอนนั้น.. หมายถึงว่าเราอายุมากน้อยกว่ากันเท่าไรก็เป็นเพื่อนกันได้ถ้าคุยกันรู้เรื่องไง"
"แล้วตอนนั้นกับตอนนี้มันไม่เหมือนกันยังไง"
"ก็.. พี่.." อัสยกมือเกาท้ายทอยตัวเองด้วยหาคำพูดที่เข้าท่ากว่านี้ไม่ได้ "ผมเห็นในทีวีอ่ะแบบดูรวยมากๆ เพิ่งรู้ว่าพี่เป็นเซเลบไฮโซ.. ใช่ป่ะ"
"อือ ก็รวยจริง" พิธาดายอมรับหน้าตาเฉย "รวยมากด้วยไงถึงบอกว่าพี่ช่วยเหลืออัสได้ไม่ลำบากสักนิด"
"โห ขอเกลียดคำว่า 'รวย' ของพี่ได้ป่ะ ฟังแล้วหมันไส้ฉิบ แต่ขอปฏิเสธความช่วยเหลือเรื่องเงินเรื่องงานนะ คือเราเป็นเพื่อนกันใช่ป่ะ ถ้าพี่ช่วยเรื่องนี้ผมว่าเหมือนเกาะเพื่อนกิน มันดูไม่เท่ห์อ่ะ"
"เหอะ นึกว่าห่วงศักดิ์ศรี ที่แท้ก็กลัวจะไม่เท่ห์ เด็กจริงๆนะเราเนี่ย"
"ฮี่ๆ" อัสแสยะยิ้มให้อีกฝ่าย "อะไรที่ได้มาด้วยตัวเองมันเป็นความภูมิใจของผมไง"
"เออ ทำสองงานสามงานแบบนี้ระวังได้ตายก่อนใช้เงินหรอก"
"ไม่มีทาง ยังไงผมต้องตั้งตัวให้ได้ก่อนจะได้ตายอย่างภาคภูมิ"
"กู้ชาติไหม จะได้เชิดหน้าเชิดตาทั้งวงตระกูล"
"ฮ่วย เพื่อนกันจริงป่ะเนี่ย ทำไมขัดคอตลอด"
"เออๆ พี่จะรอภูมิใจด้วยในวันที่นายไม่ต้องวิ่งโล่ใช้แรงงานเช้ายันมืดแบบนี้ก็แล้วกัน"
"ฟังดูแปลกๆแต่ก็โอเค สัญญาเลยว่าพี่จะได้ภูมิใจกับผมแน่นอน" อัสยิ้มมุมปากพร้อมยักคิ้วที่คิดว่าสุดเท่ห์ให้อีกฝ่ายที่ก็ยิ้มตอบรับกลับเช่นกัน
☁☁ ☁☁☁ ☁☁☁ ☁☁☁ ☁☁
fiction