Nov 22, 2018 23:01
ความจริงอันน่าเจ็บปวด ถ้าไม่ได้เจอกับตัวเองก็ไม่มีความเจ็บปวดใดจะมาบรรยายได้
มันเป็นความเจ็บปวดที่ไม่ได้เป็นแค่ความเจ็บปวดทางใจ แต่ยังมันส่งผลมาถึงทางกายจนเหมือนจะหายใจไม่ออก
“เมื่อกี้พ่อว่ายังไงนะ”
“ก็อย่างที่ได้ยินนั่นแหละ พี่เขาไม่อยู่กับเราแล้ว” ชายสูงวัยที่กำลังลำบากใจที่จะตอบคำถามลูกชาย
“ไม่จริง ก็ไหนพ่อบอกว่า...”
“จะอะไรกันนักหนาล่ะจ๊ะ เรื่องมันก็ผ่านไปแล้วจะมาเซ้าซี้ทำไมให้มากความ” ผู้หญิงเพียงคนเดียวพูดขึ้นมาด้วยหน้าตาเฉยเมย
“พ่อเพิ่งคุยกับหมอเมื่อสัปดาห์ที่แล้วไม่ใช่เหรอ ที่ว่าพี่เขาไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ก็ไหนบอกว่ารอได้” แตกต่างจากเด็กหนุ่มที่กำลังตั้งคำถามกับสิ่งที่ได้ยินด้วยน้ำเสียงสั่นคลอน "ทั้งที่ผมขอให้พ่อช่วยดูแลแค่เดือนเดียวเท่านั้นเอง แล้วผมจะกลับมารับผิดชอบทุกอย่างรวมทั้งค่ารักษานั่นผมก็จะใช้คืนให้พ่อทั้งหมด แล้วนี่อะไร ผมฝากพี่ดลไว้กับพ่อไม่ใช่เหรอครับ แล้วมันเกิดอะไรขึ้น ช่วยบอกให้ผมเข้าใจหน่อยได้ไหมครับ"
"เลือดเนื้อเชื้อไขก็ไม่ใช่ เป็นแค่เด็กรับมาเลี้ยงไม่ใช่เหรอ จะคร่ำครวญอะไรมากมาย" หญิงคนเดิมยังคงเอ่ยแทรกเป็นระยะๆ “ร่ำไรไปก็ไม่ช่วยให้คนตายฟื้นกลับมาได้ ยังไงซะ คนตายก็ตายไปแล้ว”
“ผมกำลังคุยกับพ่อ คนอื่นอย่า...”
เพี๊ยะ !
ยังไม่ทันได้จบประโยคของตนเองก็พลันรู้สึกถึงแรงกระทบเข้าที่แก้มซ้ายด้วยฝ่ามือจากผู้เป็นพ่อ
รู้สึกเจ็บจนชาไปทั้งหน้า
“อุ้ย! ใจเย็นๆค่ะคุณ เรื่องแค่นี้ แขไม่ถือสา ก็เข้าใจนะว่าทางโน้นเขาคงเลี้ยงดูกันมาแบบนี้”
“คนอื่นที่แกว่าน่ะเมียฉัน อย่ามาก้าวร้าว!” ชายสูงวัยกล่าวย้ำหลังการกระทำเมื่อครู่ “ฉันคิดผิดจริงๆที่ปล่อยแกไปให้คนพวกนั้นดูแล แล้วถ้าคิดจะอยู่ด้วยกันก็อย่าเอานิสัยเสียๆมาใช้ที่นี่” ว่าแล้วก็เดินจากไปพร้อมด้วยผู้หญิงข้างกาย
เหลือทิ้งไว้แต่เพียงลำพังแค่เด็กหนุ่มผู้เป็นลูกชาย
ซึ่งในในตอนนี้
เหมือนหัวใจโดนทำลายซ้ำๆจนแหลกสลาย
จนยากที่จะแยกระหว่างสิ่งที่เกิดจริงกับสิ่งที่รู้สึกไปเอง
รู้สึกเสียสติโดยสมบูรณ์
รู้สึกเหมือนเดินฝ่าสายฝนจนมองไม่เห็นทาง
รู้สึกหนาวเย็นยะเยือกไปถึงขั้วหัวใจ ท่ามกลางพายุฝนที่มองไม่เห็น
.。.。.。.
จากหนึ่งวันกลายเป็นสัปดาห์ และยาวนานร่วมเดือนที่นภาปล่อยให้สิ่งรอบตัวผ่านมาและเลือนหายไปโดยที่ไม่เอาตัวเองไปข้องแวะใดๆ
"วันนี้ก็ยังไม่มีอารมณ์สินะ" เด็กหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกันเอ่ยขึ้นแทนคำทักทายเมื่อเปิดประตูห้องเข้ามาเห็นอีกคนนั่งนิ่งคล้ายเหม่อลอยอยู่ที่โซฟาตัวยาวข้างผนังห้องซึ่งถูกใช้เป็นที่หลับนอนมาหลายอาทิตย์แล้ว
นภาหันมามองเจ้าของห้องก่อนเอ่ยกลับไปด้วยเสียงแผ่วเบา "ขอโทษนะ"
"เฮ่ย ไม่เป็นไร ทางนี้ไม่เดือดร้อนหรอก ก็เห็นอาการแบบนี้ทุกวันๆ ก็เป็นห่วงไง" สาครวางกระเป๋าลงบนโต๊ะแล้วเดินมานั่งด้วยกันบนโซฟา "อยากได้อยากทำอะไรเมื่อไหร่ก็บอก คิดอะไรอยู่ก็แชร์กันบ้าง เพื่อนอยากช่วยนะเว้ย"
นภาส่งยิ้มอ่อนแรงให้ก่อนหันมองออกไปทางระเบียงผ่านประตูกระจก "พี่ดลเขาเสียแล้วนะ"
"ฮะ ว่าไงนะ" สาครขยับเข้ามาคว้าไหล่อีกฝ่ายให้หันมามองหน้ากัน "พี่ดล พี่เขาทำไมนะ"
"พี่ดลตายแล้วว่ะ" นภาเอ่ยซ้ำก่อนจะเบือนหน้าหนีอีกครั้ง
สาครนิ่งค้างไปด้วยความมึนงง เพราะเท่าที่พอรู้มาคือพี่ชายของเพื่อนคนนี้ประสบอุบัติเหตุต้องนอนอยู่โรงพยาบาลมาพักนึงแล้วอยู่ๆมาบอกว่าตายแบบนี้ก็อดตกใจไม่ได้ "ได้ไง คืออะไร ยังไงวะ"
"แม้ตอนนั่นพี่ดลจะยังไม่ฟื้น แต่หมอก็เคยบอกว่าพี่เขายังมีการตอบสนองอยู่ตลอด แถมอาการดีขึ้นทุกวันๆ แต่จู่ก็มาจากไปกระทันหันแบบนี้ นายคิดว่ามันแปลกไหมวะ" นภาต้องแสร้งทำเป็นเงยหน้ามองขึ้นที่สูงเพื่อกลั้นไม่ให้น้ำตามาไหลออกมา ตอนนี้ในใจเขาล้าไปหมด แต่ดูเหมือนจะไม่มีเหนื่อยกับการต้องร้องไห้ซ้ำๆ
"แล้วพ่อนายเขาว่าไงบ้าง"
"ก็แค่บอกว่าตายแล้ว ก็แค่นั้น" แม้จะเห็นท่าทีนิ่งเฉยของผู้เป็นพ่อ แต่นภาก็อยากทำใจให้เชื่อว่าพ่อของเขาต้องรักลูกเท่าๆกันอยู่แล้ว ไม่เกี่ยวว่าสายเลือดเดียวกันหรือไม่ เพราะยังไงก็เลี้ยงมาจนโตไม่ใช่เหรอ
"แล้วเรื่อง เอ่อ งานศพล่ะ จะจัดเมื่อไร มีอะไรให้ช่วยเปล่า"
นภาส่ายหน้าตอนหันมาสบตาเพื่อน
"บอกได้นะ ไม่ต้องเกรงใจ พี่นายก็เหมือนพี่เราแหละ" สาครบอกจริงจัง
"เราเองก็มาไม่ทันหรอก พ่อไม่ยอมโทรหาหรือส่งข่าวอะไรเลย จนวันที่เรากลับมาบ้านนั่นแหละถึงได้รู้เรื่อง" นภารู้สึกเหมือนมีอะไรมาจุกแน่นในลำคอ "บ้าบอดีไหมล่ะ"
สาครมองเห็นรอยยิ้มแห้งแล้งและแววตาเลื่อนลอยนั่นแล้วก็นึกอยากจะสรรหาคำพูดที่ช่วยให้ความรู้สึกของเพื่อนดีขึ้นบ้างจริงๆ
"ขอโทษนะ นายทำงานเหนื่อยมาทั้งวันแล้วยังจะต้องมาเหนื่อยใจกับเราอีก ขอโทษจริงสาคร" นภารู้สึกผิดที่ทำให้อีกฝ่ายลำบากใจแบบนี้แต่ก็ไม่รู้จะจัดการยังไงกับความรู้สึกแย่ๆที่ตัวเองเผชิญอยู่
"มาดราม่าอะไรเล่า ก็บอกแล้วว่าอยากช่วย อีกอย่างนะ มีนายมาอยู่ด้วยก็ดีไปอีกแบบ" สาครเป็นฝ่ายมองออกไปทางระเบียงห้องบ้าง
นภายิ้มขำกับท่าทีของเพื่อนตัวโตคมเข้มที่บนใบหน้ากำลังขึ้นสีเข้มไปอีก
"ถึงจะเป็นผู้ชายแต่อยู่คนเดียวมันก็เหงาๆว่ะ" สาครยอมรับอย่างเขินๆ "แล้วนายก็ไม่ได้สร้างความลำบากอะไรด้วย ก็เหมือนมีสัตว์เลี้ยงเพิ่มมา ก็แค่นั้น"
"โห สัตว์เลี้ยงเลยเหรอ นี่เพื่อนเองนะ" นภาเบะหน้าใส่เหมือนเด็กๆในสายตาคนมองอย่างสาคร
"อืม คิดมาละกันว่าอยากเป็นตัวอะไร" สาครหัวเราะในลำคอก่อนลุกขึ้นยืนเต็มความสูง "หิวแล้วว่ะ ไปหาข้าวเย็นกินดีกว่า"
" อยากกินเกาเหลาหมูตุ๋นอีกอ่ะ พาไปหน่อยเด่ะ" นภาบอกพลางเดินตามอีกคนไปที่ประตู
"ไหนว่าไม่ชอบกินหมู แต่เห็นชอบกินจังไอ้หมูตุ๋นเนี่ย"
"ก็มันอร่อย" นภาบอกอย่างอารมณ์ดี นี่ถือว่าเป็นครั้งแรกที่รู้สึกอารมณ์ดี ตั้งแต่เดินออกจากบ้านมาในวันนั้นก็ว่าได้
⊶⊶⊶TBC
รักแลกภพ