[Fic]Something Happens

Aug 24, 2010 07:41

Something Happens

อคานิชิ จิน + ทากุจิ จุนโนะสุเกะ

ผมกำลังเจ็บปวด ซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า…กับคน คนเดิม
อคานิชิ จิน คือผู้ชายคนนั้น คนที่บอกให้ผมรอ รอ แล้วก็รอ ทำได้แค่เพียงรอเขากลับมา
เปล่าหรอกครับ...ผมกับเขา ระหว่างเรา ไม่ใช่คู่รักกัน เพียงแค่ความเผลอไผล แค่เท่านั้น ที่ทำให้เรามีสัมพันธ์เกินเพื่อนไป

ความสัมพันธ์ของผมกับเขา มันเริ่มขึ้นตั้งแต่วันนั้น

………….
………
…..

.

“กลับด้วยคนสิ”
อคานิชิ จิน หนึ่งในทีมสถาปนิกกลุ่มเดียวกับผมเอ่ยขึ้น พวกเราเพิ่งออกมาจากการประชุมเครียด เพราะทางบริษัทได้รับโครงการใหญ่มา 2 โครงการ โครงการแรก เป็นโครงการเกียวกับการออกแบบเมืองใหม่ ที่สร้างบนพื้นที่ที่เกิดจากการถมทะเล ส่วนอีกโครงการ เป็นโครงการตึกแฝดแห่งใหม่ที่สหรัฐอเมริกา
ทีมของเรามี 6 คน จึงถูกแบ่งออกเป็นสองทีม ทีมแรก มี 5 คน ดูแลโครงการเมืองใหม่ ส่วนอคานิชิ เป็นคนเดียวที่จะต้องดูแลโครงการตึกแฝดที่อเมริกา

“ไม่ยุติธรรม ทำไมพวกเราต้องอยู่ทำโครงการในประเทศ ส่วนหมอนั่นได้ไปอเมริกาล่ะ”
“นั่นสิ ปกติหมอนั่นก็ชอบทำตัวแปลกแยกจากคนอื่น ๆ อยู่ด้วยนะ”
“หรือจะให้หมอนั่นทำงานเดี่ยว”
เสียงโวยวายดังขึ้นจากคนอื่น ๆ ในทีมพวกเรา จึงทำให้ผู้บริหารต้องออกมาชี้แจง
“ทางอเมริกาเค้าเห็นผลงานตึกแฝดกลางเมืองของจิน เขาเลยระบุชื่อจินในการจ้างงานครั้งนี้”

ไม่มีคำพูดใด ๆ หลุดออกจากปากของจิน

ผมไม่รู้ว่าเขาพอใจ หรือไม่พอใจ หรือรู้สึกอย่างไร ผมเอง ก็ได้แต่เฝ้ามองเขา จู่ ๆ สายตาของเราก็สบกัน กระแสไฟอะไรบางอย่างทำให้ผมต้องรีบก้มหลบสายตาของเขา

“เอาเป็นว่า...วันนี้เราเลิกประชุมแค่นี้ก่อน ยังไงทุกคนก็ลองเอาเรื่องวันนี้กลับไปคิด แล้วพรุ่งนี้ค่อยมาประชุมกันอีกครั้ง เวลาเดิมนะ”

“จุนโนะคิดยังไงเหรอ”
เสียงทุ้ม ๆ ของจิน เอ่ยขึ้นปลุกให้ผมกลับมาจากภวังค์ความคิด ท่ามกลางความเงียบบนรถของผม
“ว่าไง..เรื่องอะไรเหรอครับ”
ผมแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องที่เขาถามขึ้น ทั้ง ๆ ที่ผมเองก็จมอยู่กับความคิดเรื่องนั้นเช่นเดียวกัน
“ก็....เรื่องที่ประชุมวันนี้...”
ผมหลบสายตา หันมาตั้งใจมองเจ้าไฟแดงกลางสี่แยก ราวกับว่าเพิ่งเคยเห็นมันเป็นครั้งแรก
“มันก็...เป็นงานนี่ครับ”
“นั่นสินะ...เป็นงาน”
“ได้ทำงานต่างประเทศ ทิ้งพวกพ้องให้ทำงานอย่างหนักอยู่เบื้องหลัง”
“ไม่ใช่นะครับ!! งานในประเทศเองถึงจะเป็นโครงการใหญ่ แต่งานนอกประเทศก็สำคัญนะครับ”
“แล้วที่สำคัญ พวกเรา...ต่างก็เคยทำงานเดี่ยวมาแล้วทุกคน ครั้งนี้...อคานิชิก็แค่มีงานเดี่ยวนี่ครับ”
“นั่นสินะ”
“งานเดี่ยว...แต่ต้องไปอยู่ต่างประเทศตั้งหลายเดือน ฉันไม่มั่นใจเลย”
“อยากให้นายไปด้วยกัน”
“ไม่ได้หรอกครับ โครงการต่าง ๆ ถูกกำหนดเอาไว้แล้ว”
“แต่งานโซโล่ของฉัน ก็มักจะมีนายเข้ามาช่วย”
“อคานิชิคุงเองก็ช่วยเหลือผมในงานโซโล่ของผมตั้งหลายครั้ง พอมีอคานิชิคุงมาช่วย ก็ทำให้งานของผมมีสีสันขึ้นมาก”
“ฮ่า ๆ เราสองคนปาดอกไม้ใส่กันใหญ่เลยนะ”
“ทั้ง ๆ ที่นิสัยเราแตกต่างกันมาก แต่เวลาฉันอยู่กับนายแล้ว ฉันสบายใจดีล่ะ”
“ผม...ชื่นชมความสามารถของอคานิชิคุงนะครับ”
“ถึงแม้ว่าอคานิชิคุงจะไม่ใช่คนที่ทำตามแบบแผน หรือกฎเกณฑ์อะไรเท่าไหร่ แต่งานของอคานิชิคุง มักจะเป็นงานที่มีพลังสร้างสรรค์ตามสัญชาติญาณของอคานิชิคุงเสมอ”
“ผมชื่นชมความสามารถของอคานิชิคุงนะครับ”
“ฮ่า ฮ่า”
จินหัวเราะออกมา ผมทำตาโตด้วยความประหลาดใจ
“ผมพูดอะไรผิดไปรึเปล่าครับ”
“นายบอกว่าชื่นชมฉันตั้งสองครั้งแหน่ะ รู้ตัวมั้ย”
“รู้สึกเหมือนกำลังโดนนายบอกรักเลยนะ”
“ผม....เปล่านะ”
ผมรู้สึกร้อนผ่าวทั่วใบหน้า ราวกับเด็กที่ทำผิดแล้วโดนจับได้ แต่จินก็หัวเราะออกมาอีกครั้ง ทำให้ผมรู้ว่าจินกำลังล้อผมเล่นอยู่ ผมจึงทำหน้ามุ่ย ก่อนจะเอ่ยตัดพ้อ
“เรื่องอย่างนี้ อย่าพูดเล่นสิครับ”
“ห้ามพูดเล่น... งั้นพูดจริง ๆ แล้วกัน”
เขาแกล้งตีสีหน้าขรึม
“เรารู้จักกันมากี่ปีแล้ว”
“เอ่อ... 6 ปีครับ ผมเข้ามาทำงานที่นี่ 6 ปีแล้ว”
“อ่า...นั่นสินะ ที่นายชอบพูดเสมอว่า พอเข้าทำงานก็ได้ร่วมงานกับฉันมาตลอด”
“ก็...มันน่าภูมิใจออกนี่ครับ”
“แล้วนายคิดว่าฉันรู้สึกยังไงล่ะ”
“อย่าบอกนะครับว่ารำคาญน่ะ”
“ก็รู้นี่”
ผมทำหน้าบู้ปากยู่ยี่เหมือนกำลังงอนเขา จินเอื้อมมาจับศีรษะผมแล้วโยกไปมาอย่างเอ็นดู
“นายนี่...โตแค่ไหนก็ยังทำตัวเด็กจริง ๆ เลยนะ”
“ถ้าเป็นนาย...นายจะคิดยังไงกับคนที่ชื่นชมนายแบบสุด ๆ ล่ะ”
“ก็ต้องปลื้มสิครับ มีคนมาชื่นชมเราทั้งที อย่างผมน่ะ ไม่เห็นมีใครมาชื่นชมบ้างเลย”
“ไม่มีใครเค้าชื่นชมกันอย่างเปิดเผยอย่างนายต่างหาก”
“ผมก็แค่...พูดตามที่ผมคิดเท่านั้น”
“เพราะอย่างนั้นสินะ ที่ทำให้นายแตกต่างไปจากคนอื่นน่ะ”

ในที่สุดก็มาถึงคอนโดฯ ของจิน
“ขึ้นไปดื่มกาแฟซักแก้วมั้ย”
“เอ่อ...ไม่ดีกว่าครับ”
“อย่าปฏิเสธน่า ฉันเพิ่งซื้อเครื่องทำกาแฟมาใหม่ มาเป็นหนูทดลองให้หน่อยสิ”
จินไม่เปิดโอกาสให้ผมปฏิเสธได้อีก

ความจริงผมเคยขึ้นมาที่ห้องเขาแล้วประมาณครั้ง หรือสองครั้ง ห้องสุดหรูตกแต่งด้วยโทนสีเพียงสองสีคือขาวกับดำ ผมทรุดกายลงนั่งที่โซฟาสีขาว กำแพงฝั่งตรงข้ามมีกรอบรูปใหญ่ติดรูปบั้นท้ายสาวเซ็กซี่
“เอาอะไรดี”
“ลาเต้ร้อนแล้วกันครับ”
จินหายไปพักใหญ่ ก่อนจะยกแก้วมัค กวันฉุยออกมาสองแก้ว ผมรับมันมาสูดกลิ่นหอม ๆ
“อร่อยมั้ยลาเต้ฝีมือฉัน”
“อร่อยครับ แต่เหมือนมันมีกลิ่นหอม ๆ ของอะไรบางอย่างนอกจากกาแฟนะครับ”
“ฉันโรยซินนาม่อนลงไปด้วยน่ะ หอมใช่มั้ยล่ะ นี่น่ะ ลาเต้สูตรประจำตระกูลฉันเลยนะ”
เราหัวเราะเบา ๆ ก่อนที่จะยกดื่มอีกครั้ง
“เปื้อนหมดแล้ว”
จินใช้นิ้วโป้งเช็ดฟองนมที่เลอะอยู่รอบปากของผม ก่อนจะจับประคองใบหน้าของผมไว้
“ไม่อยากปล่อยมือจากนายไปเลย”
ใบหน้าของจินกับผมใกล้กันมากขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งผมรู้สึกถึงลมหายใจของอีกฝ่าย สายตาของเราประสานกัน ก่อนที่จินจะทาบริมฝีปากของเขาลงบนริมฝีปากของผม

“เผลอไปจนได้สินะ เรื่องเมื่อกี้ ฉันขอโทษด้วยแล้วกัน ลืมมันไปเถอะนะ” จินผละออกไป ก่อนที่จะเอ่ยขอโทษผม
“อคานิชิคุง...” ผมดึงรั้งชายเสื้อของเขาไว้ เรื่องเมื่อครู่...ไม่อยากให้เป็นแค่เรื่องที่เผลอไผล
“เรื่องเมื่อกี้...ผมไม่ลืมได้มั้ยครับ”
แล้วริมฝีปากของเราสองคนก็ดึงดูดกันและกันอีกครั้ง....

แสงแดดอุ่น ๆ ส่องผ่านหน้าต่างบานกว้าง ปลุกผมให้ต้องลืมตาขึ้นอย่างช้า ๆ
เรือนร่างเปลือยเปล่าเตือนให้ผมรู้ว่าเรื่องเมื่อคืน...ไม่ใช่ความฝัน
ผมยังอยู่ในห้องของจิน และเจ้าของห้องก็ยังคงนอนจมอยู่บนเตียงข้าง ๆ ผม
ผมยังจำสัมผัสลึกชึ้งของเราได้ดี แรงปรารถนาของทั้งเขาและผมผลักดันให้เหตุการณ์เมื่อคืนเกิดขึ้น
...ไม่ใช่ความรัก...
สำหรับผม...ผมปลื้มเขามาก มากเสียจนกระทั่ง...มักจะเผลอตัวมองตามหลังเขาไปเสมอ แต่นั่น...จะใช่ความรักรึเปล่า ในตอนนั้น... ผมยังไม่แน่ใจตัวเอง
แต่กับจิน....ผมไม่กล้าคิดว่าเขารักผม รอบข้างจิน มีคนที่ดีกว่าผมมากมาย ความสัมพันธ์ครั้งนี้ของเรา อาจจะเกิดขึ้นเพราะความเหวาใจ ที่จะต้องไปอยู่ที่ไกล ๆ อย่างอเมริกาก็ได้ ใครจะไปรู้ และผมเอง...ก็ไม่คิดว่าจะผูกมัดเขาด้วยเรื่องเช่นนี้

ผมลุกขึ้นจากเตียง ก้มลงเก็บเสื้อผ้าของผม เดินเข้าห้องน้ำ

น้ำอุ่น ๆ ที่ไหลจากฝักบัว รินรดผ่านร่างของผม ชำระล้างคราบคาวแห่งความปรารถนาเมื่อคืนจนหมดสิ้น หลงเหลือแต่เพียงความรู้สึกภายในที่ยังคงปั่นป่วนไม่หาย พร้อม ๆ กับหัวใจที่เต้นเป็นจังหวะไม่คุ้นเคย

เสียงเคาะประตูเบา ๆ จากภายนอก ทำให้ผมสะดุ้ง
“จุนโนะสุเกะ...นายอยู่ในนั้นใช่มั้ย”
“ผมอาบน้ำอยู่ เดี๋ยวออกไปครับ”
ผมตอบออกไปไม่ทันขาดคำ
“คลิ๊ก”
ประตูห้องน้ำก็เปิดออก ร่างเปลือยเปล่าของอคานิชิ จินล่วงผ่านประตูห้องน้ำเข้ามากอดเอวผมไว้ จมูกโด่ง ๆ ของเขาจรดลงมาที่ซอกคอของผมแผ่วเบา แต่กลับกระตุ้นให้ผมเกิดอารมณ์อย่างประหลาด
“อย่าครับ วันนี้เรามีประชุมช่วงเช้านะครับ”
ผมทักท้วง

ถึงแม้ว่าเราสองคนจะเปียกปอน แต่มือของจินที่ลูบไล้เรือนร่างของผม ก็ยังคงร้อนผ่าว
“ไม่เห็นอยากเข้าประชุมเลย อยากกอดนายไว้อย่างนี้”
เขาช้อนใบหน้าของผมให้หันมาทางเขา ก่อนที่ริมฝีปากของเราจะสัมผัสกันอีกครั้ง อ้อมแขนที่โอบรอบร่างของผมไว้กระชับแน่น แผ่นอกของเขาแนบสนิทกับแผ่นหลังของผมเสียจนผมรู้สึกถึงจังหวะการเต้นหัวใจของเขา และความแข็งขึงด้วยแรงปรารถนาของเขา
นิ้วอุ่น ๆ แทรกเข้ามายังช่องทางด้านหลังของผม สัมผัสเร่าร้อนของเขาทำให้ผมเกร็งตัว เผลอตอบรับเขาอย่างลืมตัว เขาจับให้มือสองข้างของผมยันกำแพงไว้ ก่อนจะแทรกกายของเขาเข้ามาในกายผม
ถึงแม้จะเป็นครั้งที่สอง ที่เขาล่วงล้ำเข้ามา แต่ความเจ็บปวดก็ยังไม่บรรเทานัก แรงกระแทกของจินทำให้ผมนิ่วหน้า แต่เพียงครู่หนึ่ง ผมก็ลืมความเจ็บปวดจนหมดสิ้น ความรู้สึกหวานล้ำกลับเข้ามาแทนที่ ผมครางออกมาแผ่วเบา ดื่มด่ำกับความสุขที่จินมอบให้
กว่าพายุปรารถนาจะจบลงก็เกือบ 10 โมง เราใช้เวลาอาบน้ำแต่งตัวเพื่อจะไปประชุมเพียงคนละ 10 นาที ผมยืมเชิ้ตลายทางสีเทาขาวของจินมาสวมแทนเชิ้ตยับยู่ยี่ของผม

เราไปถึงที่ทำงานก็เกือบ 11 โมง เราจึงแยกย้ายไปที่โต๊ะ เพื่อเตรียมเอกสารที่จะเข้าประชุม

ในที่ประชุมสรุปชัดเจน ทุกคนต่างกลับไปคิดและทบทวนเรื่องที่ประชุมไปเมื่อวาน วันนี้มติเป็นเอกฉันท์ที่จะสนับสนุนให้จินไปทำงานที่อเมริกา และคนที่เหลือทำโครงการเมืองใหม่
“พวกเราจะคอยเชียร์นาย นายก็อย่าลืมเชียร์พวกเราด้วยนะ”
ไม่มีคำพูดจากผม มีแค่เพียงรอยยิ้มเท่านั้น ที่ผมจะให้จินได้

จู่ ๆ เขาก็หันมาทางผม สายตาของเราสบกันโดยบังเอิญ เหมือนเขาต้องการจะพูดอะไรบางอย่างกับผม แต่เขาก็ถูกโคคิกับยูอิจิลากไปเสียก่อน

วันเวลาผ่านไปรวดเร็ว ในวันที่เขาเดินทาง ผมเองก็ยุ่งกับโครงการเมืองใหม่เสียจนไม่มีเวลาที่จะไปส่งเขา
ความจริง...ผมคงจะไม่อยากไปส่งเขามากกว่า...

แต่ผมก็แอบส่งข้อความทางมือถือไปให้เขา
“เดินทางปลอดภัยนะครับ”
แต่ก็ไม่มีอะไรตอบกลับมา ผมถอนหายใจเบา ๆ ทั้ง ๆ ที่รู้ดีว่าไม่อาจคาดหวัง แต่ผมก็อดคาดหวังไม่ได้ คาดหวังว่า...เขาจะรู้สึกอะไรกับผมบ้าง แต่ในความเป็นจริง ผมก็เป็นแค่เพื่อนร่วมงานของเขาคนนึงเท่านั้น

ผมใช้วันเวลาแต่ละวันไปกับโครงการสร้างเมืองใหม่ ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น ถึงแม้ว่าจะมีอุปสรรคเข้ามาบ้าง แต่เพราะการทำงานเป็นทีม ทุกคนก็ช่วยกันจนกระทั่งผ่านพ้นไปได้ด้วยดี
ผมเองก็มุงานหนัก จนลืมวันลืมคืน และหวังว่ามันจะทำให้ผมลืมใครบางคน แต่ภาพของคน ๆ นั้น กลับยิ่งฉายชัดอยู่ในหัวใจของผม มีผลทำให้กว่าผมจะหลับตาลงในแต่ละคืน มันยากเย็นพอดู

“ผอมลงรึเปล่า”
“ทำไมเดี๋ยวนี้นายไม่ค่อยยิ้มเลยนะ”
นั่นเป็นคำพูดที่พวกเพื่อน ๆ ของผมทัก ผมถึงขั้นกลับไปซ้อมยิ้มที่กระจกในห้องนอน แต่มันก็ช่วยอะไรไม่ได้มากนัก ผมยังคงไปทำงานในสภาพโทรม ๆ ทุกวัน และประจักษ์ในหัวใจตัวเองมากขึ้นเรื่อย ๆ ว่าเขามีอิทธิพลต่อหัวใจของผมมากเท่าไหร่

และแล้ววันนั้นก็มาถึง วันที่ฝ่ายบริหารเรียกพวกเราเข้าประชุมอีกครั้ง
“จินอาจจะกลับล่าช้ากว่าที่กำหนดไว้ หรือ....อาจจะไม่กลับมาแล้ว”

”เขาถูกทางโน้นดึงตัวเอาไว้”

เจ็บปวดอีกแล้ว...ใครกัน...เป็นคนบอกให้ผมรอ ทั้ง ๆ ที่ความจริงแล้วเขาจะไม่กลับมา

ผมเจ็บ...เจ็บกับการรอคอย เจ็บกับความสัมพันธ์ระหว่างเรา เจ็บกับความรักที่มีให้กับเขา และเจ็บกับความว่างเปล่าที่เขามอบให้

วันนี้ก็เหมือนวันอื่น ๆ เพียงแต่ผมตื่นสายกว่าปกติ นาฬิกาปลุกแล้ว แต่ผมยังอิดออด จมร่างอยู่บนเตียง ก็เมื่อคืน กว่าผมจะข่มตาหลับได้ก็เกือบตี 3

ทำให้ในยามเช้า กว่าที่ผมจะแกะตัวเองออกจากที่นอนได้ ผมก็ใช้เวลาเกือบชั่วโมง ทุกสิ่งอย่างจึงต้องรีบเร่งไปเสียหมด
ทันทีที่ผมหมุนพวงมาลัยเลี้ยวเข้าที่จอดรถ เสียงโทรศัพท์มือถือของผมก็ดังขึ้น พอกดรับ เสียงเจ้าโคคิก็โวยวายดังออกมาตามสาย
“สายไปครึ่งชั่วโมงแล้วนะเฟร้ย แกมัวไปทำอะไรอยู่ที่ไหนห๊า”
“ตื่นสายน่ะ ถึงลานจอดรถแล้ว เดี๋ยวก็ถึงแล้วน่า”
น่าแปลก...ปกติแล้ว การทำงานที่นี่ค่อนข้างจะอิสระ จึงไม่ได้กะเกณฑ์เวลาในการเข้าทำงาน แต่เมื่อครบกำหนดส่งงาน จะต้องมีงานส่งตามเวลาเสมอ
แต่อาจเป็นเพราะผมไม่เคยมาสายมาก่อน การมาสายครั้งนี้จึงออกจะผิดวิสัย จนเพื่อนร่วมงานอย่างโคคิอดรนทนไม่ไหว จนต้องโทรมาตามก็ได้

“งั้นนายรออยู่ที่นั่นแล้วกัน วันนี้เราต้องออกไปข้างนอกกัน”
ผมจอดรถเสร็จจึงยืนเตร็ดเตร่ คอยเขาอยู่บริเวณหน้าประตู ไม่นานนัก โคคิก็ปรากฏตัว
“ไปกันเลย”
“รีบอะไรนักหนา”
“นายมาสายนะจุนโนะ เอาน่า”
และแล้วผมก็ขึ้นมานั่งบนรถของโคคิ โดยที่ยังไม่รู้จุดหมายปลายทาง

รถญี่ปุ่นสีเทาดำของโคคิจอดส่งผมหน้าสถานีรถไฟ เขาจัดแจงศื้อตั๋วแล้วเอามายัดใส่มือผม
“ไปต่อเองนะ”
“อ้าว!...แล้วนายอ่ะ”
“ธุระของนายนายต้องไปจัดการเองสิ ที่สถานีจะมีคนมารอรับนะ”
พูดจบ โคคิก็เดินกลับไปที่รถ ทิ้งให้ผมยืนอยู่ที่สถานี่รถไฟเพียงคนเดียว
ตั๋ยวรถไฟบอกให้ผมรู้เพียงปลายทางสถานีที่ผมต้องลง คือ โอดาวาระ
ผมขึ้นเจอาร์สายโทไกโดะจากสถานีโตเกียว ไปยังโอดาวาระ ทันทีที่จอดผมลงสถานีมาอย่างงง ๆ ให้เดินทางทมาถึงโอดาวาระโดยไม่มีสัมภาระอะไรซักชิ้น แถมต้องทำอะไรบ้าง ผมก็ยังไม่รู้เลย
“จุนโนะ” เสียงใครคนหนึ่งเรียกผมจากด้านหลัง เสียงนั้นฟังคุ้นหู เสียงเหมือนกับ....
“อคานิชิคุง”
ผมอุทานชื่อเขาออกมาเมื่อหันหลังไปมองตามเสียง คนที่ผมกำลังคิดถึงทุกลมหายใจ กำลังยืนส่งยิ้มให้ผม และอยู่ตรงหน้าผม
“กลับมาเมื่อไหร่ครับ”
“เมื่อคืน คิดถึงนายจะแย่”
ร่างสูงเดินเข้ามาหาผม ก่อนจะสวมกอดผมแน่น แน่เสียจนผมเผลอไผลแอบคิดไปว่าอย่างกับคนรักที่ไม่ได้เจอกันนาน... แต่เป็นไปไม่ได้หรอก ทันที่ที่เขาคลายอ้อมแขน ผมก็ถามเขาถึงจุดหมายปลายทางภารกิจของเรา จินยิ้ม ไม่ยอมตอบอะไร แต่เอื้อมมือมาจับมือผมพาเดินไปที่รถของเขาที่จอดรออยู่

และแล้วผมก็รู้เสียทีว่า จุดหมายปลายทางของเรา คือเรียวกังแสนสวยแห่งหนึ่ง บริเวณทะเลสาบฮาโกเน่ ผมจำได้เลา ๆ ว่า บริษัทของผมเป็นผู้รับผิดชอบ และสถาปนิกที่ออกแบบก็คือคนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ผมนี่ล่ะ แต่ว่า ในเมื่อจบโปรเจ็คต์แล้ว ยังจะมีเรื่องอะไรที่ต้องมาถึงที่นี่อีกล่ะ หรือเขาอาจต้องการต่อเติมบางส่นเพิ่มเติ่มรึเปล่า

“ยินดีต้อนรับค่ะ”
หญิงสาวสวมยูกาตะสีขาวลายต้นหญ้าสีเขียวออกมาต้อนรับพวกเรา
“เรามาจาก...”
ผมกำลังจะเอ่ยชื่อบริษัท แต่จินปิดปากผมไว้ก่อน
“จองชื่ออคานิชิ จินครับ”
“เชิญทางนี้เลยค่ะ”
ผมเดินตามหลังคนทั้งคู่ไปเงียบ ๆ จนถึงห้องพัก หญิงสาวอธิบายโน่นนี่เกี่ยวกับโรงแรมอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะขอตัวออกไป
เหลือเพียงผมกับจิน ภายในห้องพักแบบญี่ปุ่น เขาคะยั้นคะยอให้ผมเปลี่ยนชุดเป็นชุดยูกาตะที่ทางเรียวกังเตรียมไว้ให้
“เราไม่ได้มาทำงานใช่มั้ยครับ”
ผมเอ่ยถามจินตรง ๆ จินก็ยอมรับแต่โดยดี
“ฉันลาพักร้อน 2 วัน แล้วก็ลาให้นายด้วย”
“ลาพักร้อนให้ผม แต่...”
“นายจะบอกว่าโปรเจ็คต์นายยังไม่จบใช่มั้ย”
“ผมไม่อยากเอาเปรียบเพื่อน”
“เอางี้ดีมั้ย หมดพักร้อน ฉันจะไปช่วยทำในส่วนของนาย ถือซะว่าตอบแทนที่นายยอมมาพักร้อนกับ
ฉัน”
“ทำแบบนั้นแล้วคนอื่นจะคิดยังไงครับ แล้วอเมริกา”
“เรื่องแบบนั้นน่ะ ช่างมันก่อนเถอะนะ อุตส่าห์มาถึงเรียวกัง ได้อยู่กันสองต่อสองแบบนี้ ฉันไม่อยากคิดเรื่องอื่น ๆ หรอก”
“แล้วนายล่ะ อยู่กับฉันแล้ว มีความสุขมั้ย”
ผมไม่ตอบ แต่ใบหน้าของผมร้อนผ่าว จินเองก็คงเดาคำตอบได้ไม่ยาก
“ไม่เจอกันตั้งนาย ไม่เห็นบอกว่าคิดถึงฉัน อย่างที่ฉันคิดถึงนายเลย”
“ผม...”
ผมน่ะ...มีสิทธิคิดถึง มีสิทธิเอาแต่ใจบอกว่าอยากเจอเขาด้วยเหรอ อยากจะถามเขาออกไปอย่างนั้น แต่ผมก็กลืนคำถามนั้นลงคอเสีย
นี่อาจจะเป็นข้อเสียของผมก็ได้ ทั้ง ๆ ที่ผมกล้าที่จะชื่นชมเขา อย่างภาคภูมิ แต่ผมกลับไม่กล้าเผยความรู้สึกที่มากกว่านั้นให้เขาได้รู้
จินไม่รอคำตอบ เขาประคองใบหน้าของผมไว้ก่อนจะทาบริมฝีปากร้อนของเขาลงมา จุมพิตของเขาทั้งหวานแหลม และเร่าร้อน
ผมยกมือขึ้นห้ามก่อนจะเอ่ยชวน
“มาถึงที่นี่แล้ว ไปแช่ออนเซ็นกันก่อนเถอะครับ”
ไม่รู้ว่าผมตาฝาดรึเปล่า แต่เหมือนกับว่าผมเห็นจินยกมุมปากขึ้นยิ้มน้อย ๆ อย่างเจ้าเล่ห์ แต่นั่นก็เพียงแว่บเดียว เมื่อผมมองเขาเต็มตา เขากลับทำหน้าเสียดาย แต่ก็ยินยอมทำตามคำขอของผมแต่โดยดี

ออนเซ็นของที่นี่ ใกลักับห้องพักของผมมาก มากเสียจนผมอดคิดไม่ได้ว่า มันเหมือนกับเป็นออนเซ็นส่วนตัว สำหรับห้องพักของผมกับจิน
เขาคลายปมยูกาตะ เหลือเพียงร่างที่เปลือยเปล่า ก่อนจะหันมาทางผม เขาเลิกคิ้วขึ้น ทำทีท้าทายให้ผมถอดบ้าง ผมจึงต้องยอมถอดยูกาตะออก พับบลงในตะกร้า ก่อนจะเดินเข้าไปหาเขา ที่ยื่นมือรอรับผมอยู่

น้ำอุณหภูมิค่อนข้างสูง กับธรรมชาติรอบด้าน ทำให้ร่างกายของเราผ่อนคลายอย่างประหลาด เราแช่น้ำกับอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่จินจะเริ่มมือซน เขาเคลื่อนกายมาใกล้ผม มือของเขาลูบไล้ต้นขาของผม ส่วนมืออีกข้างก็โอบรอบเอวของผม ก่อนจะดึงผมเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนของเขา ใบหน้าที่ห่างกันไม่ถึงคืบของเรา ดึงดูดกันราวกับมีแม่เหล็ก จินทาบริมฝีปากอุ่นลงมา ขบเบา ๆ ที่ริมฝีปากล่างของผม กระตุ้นให้ผมสนองตอบเขาอย่างลืมตัว

เพราะร่างของเราสองคนแนบสนิท ผมจึงรู้สึกถึงส่วนที่อ่อนไหวของเขากำลังตื่นตัวอย่างเต็มที่ ไม่รู้ว่าอุณหภูมิน้ำ หรือเพราะอะไร ผลักดันให้ผมรู้สึกไม่ต่างจากเขาเช่นกัน
มือของจินจาบจ้วง รุ่มร้อน และเร่งเร้า จนทำเอาสติของผมพร่าเลือนปล่อยให้เขาทำอะไรต่อมิอะไรได้ตามใจอย่างไม่ขัดขืน และนั่นก็ยิ่งทำให้เขาได้ใจ เมื่อเห็นว่าร่างกายของผมพร้อม เขาก็แทรกกายเข้ามาในร่างของผม
บทรักของเราสองคนดำเนินไปด้วยความสอดคล้อง จินไม่เร่งเร้า หากแต่ผ่อนจังหวะให้ผมตามทัน เราสองคนก้าวสู่วังวนแห่งปรารถนาร่วมกัน

ผมจำไม่ได้ว่ากลับมาอยู่ในห้องพักได้อย่างไร รู้ตัวอีกที เราสองคนก็นอนอยู่บนฟูกที่ทางโรงแรมเตรียมให้ในห้องพัก และผมยังคงอยู่ในอ้อมแขนของจิน ริมฝีปากของเขายังคงคลอเคลียอยู่บนหน้าผากของผม

“จำได้มั้ย...ที่ฉันเคยถามจุนโนะว่า นายคิดยังไงกับคนที่ชื่นชมนายแบบสุด ๆ น่ะ”
“อือ...”
“คำตอบของฉันก็คือ มันทำให้ฉันหันกลับไปมองคน ๆ นั้น และตกหลุมรักอย่างถอนตัวไม่ขึ้น”
จินเว้นระยะนิดหนึ่ง ก่อนเอ่ยต่อด้วยเสียงเศร้า ๆ
“ทั้ง ๆ ที่ดูเหมือนว่า เรื่องทั้งหมดกำลังจะไปได้ด้วยดี แต่...การตัดสินใจของฉันก็ทำลายทุกอย่างลง”
“การตัดสินใจอยู่ที่โน่นของฉัน ทำให้เรื่องรักของเราเป็นไปไม่ได้....”

“ลืมฉัน....ลืมฉันเสียเถอะนะ จุนโนะสุเกะ”
ผมเข้าใจแล้ว...ผมเข้าใจแล้วว่า จินกลับมาทำไม จินกลับมาเพื่อสะสางเรื่องราวในหัวใจ ระหว่างเขากับผม เขากลับมาเก็บผมเป็นความทรงจำ แต่กับผม เขากลับบอกให้ผมลืมเขา...
“ไม่ยุติธรรม”
“ผมบอกอคานิชิคุงเมื่อไหร่ ว่าผมอยากลืม”
“แล้วทำไมผมต้องลืมอคานิชิคุงด้วย”
“แต่ฉันมัน....”
“ไม่ว่าอคานิชิคุงจะเป็นยังไง ผมก็จะไม่ลืม จะไม่ยอมลืมเด็ดขาด จะให้ลืมหัวใจตัวเองน่ะเหรอ ผมทำไม่ได้หรอก”
เราจูบกันอย่างดูดดื่มอีกครั้ง ราวกัจะประทับรอยสลักแห่งความทรงจำเอาไว้
“ฉันจะไม่สัญญาว่า...ฉันจะกลับมา…แต่ฉันสัญญานะว่า ฉันจะมีนายในหัวใจ”
“อคานิชิคุงไม่ต้องสัญญาหรอกครับ”
“คำสัญญา...ไม่มีความหมายหรอกครับ ผมไม่อยากผูกมัดอคานิชิคุงด้วยคำสัญญา”
“แค่ช่วงเวลาดี ๆ ที่เราสองคนได้ใช้เวลาร่วมกัน ผมก็มีความสุขมากแล้ว ขอบคุณนะครับ”
เขาพยักหน้าเข้าใจ เราสองคนนอนกอดกันจนเช้า โดยที่หลับไม่ลงเลยแม้แต่น้อย

เราใช้ช่วงเวลาพักร้อน 2 วันไปอย่างคุ้มค่า เก็บเกี่ยวความทรงจำทั้งหมดของเราไว้ด้วยกัน เมื่อกลับมาโตเกียว เขาก็มาช่วยงานของผมจนเรียบร้อย เรายังคงใช้ชีวิตร่วมกันอย่างมีความสุข จนกระทั่งถึงกำหนดที่เขาต้องกลับอเมริกา

เขาจากไปแล้ว....
ผมร้องไห้หนักที่สุดในชีวิต จนดวงตาของผมแดงไปหมด ผมอดสงสัยไม่ได้ว่า คนเรากักเก็บน้ำตาไว้ที่ไหน ถึงได้มีมากมายได้ถึงขนาดนี้ แต่หลังจากน้ำตาหยดสุดท้ายเหือดแห้งลง ผมก็จะลุกขึ้นอีกครั้ง เก็บทุกสิ่งเป็นความทรงจำ และก้าวเดินต่อไปข้างหน้าอย่างมั่นคง

บางที...ชีวิตมันก็ไม่เหมือนในนิยายหรอกครับ ที่จะจบลงอย่างแฮปปี้เอ็นดิ้ง ความสุข มักจะมาควบคู่ไปกับความทุกข์เสมอ และที่สำคัญ เรื่องบางเรื่อง ก็ไม่สามารถเป็นไปตามที่ใจเราวาดหวังได้ สิ่งที่เราทำได้ คืออยู่กับปัจจุบัน และทำมันให้ดีที่สุด ไม่ว่าอดีตอันผ่านพ้นจะเป็นอย่างไร หรืออนาคตภายภาคหน้าจะเป็นอย่างไร เราก็แค่เตรียมรับมือเผชิญกับมันเท่านั้น เป็นสัจธรรม...

ลาก่อน...ความรักของผม
...............
.......
..
.

Talk : จากที่ตั้งใจจะแต่งฟิคเรทหน่อย ๆ เป็นฟิควันเกิดจิน เพราะอ่านชาวบ้านเค้าแต่งแล้วอยากแต่งบ้าง รวมไปถึงอยากเขียนอะไรที่อิงฟิลล์ความรู้สึกช่วงนี้เอาไว้ซักหน่อย แล้วก็เลทมาจนเกิดเหตุการณ์พลิกผันชีวิต ไอ้ที่แต่งไปแล้ว จากที่จบแบบแฮปปี้เอ็นดิ้ง เลยต้องรีไรท์ใหม่หมด กลายมาเป็นแบบนี้ แถมแต่งฟิต บิโด มิโรคุเอาไว้ กะว่าจะใช้เป็นฟิคเฟ่ต์ เปลี่ยนใจเลย ไว้พิมพ์เสร็จแล้วจะเอามาลงเลยดีกว่า ส่วนฟิคเฟ่ต์ก็คิดพล็อตใหม่ได้แล้ว เหลือคู่พีเมะ ไม่รู้จะเขียนไรดี ใครมีพล็อตเสนอ บอกได้นะคะ ถ้าเขียนได้จะเขียนให้ค่ะ
Previous post Next post
Up