[Fiction] Arashi : Ohmiya - Slide Slide Side :: Part 2

Sep 05, 2016 23:20




[*-Slide Slide Side-* ] OHMIYA
Author  MiracleHaya
Part 2

ถ้าคุณจะเลือกทำอะไรซักอย่าง คุณจะเลือกจากอะไร
ถ้าคุณมีความรู้สึกว่าอยากจะทำอะไรอย่าง คุณอยากทำมันเพราะอะไร
แล้วถ้าคุณจะเล่นเกมส์สักเกมส์ล่ะ? คุณเริ่มเล่นมันเพราะอะไร

เพราะชอบเลยเลือก
เพราะชอบเลยอยากทำ
เพราะสนใจขึ้นมาเลยอยากจะลองดูสักครั้ง....แต่ทำไมถึงสนใจขึ้นมาล่ะ......เพราะรู้สึกว่ามันน่าสนุกใช่ไหม?

แล้วมันเรียกว่าชอบรึเปล่าล่ะ?
ผมไม่ได้พูดเต็มปากหรอกนะว่าชอบ เพราะผมเบื่อง่ายถ้าเล่นๆไปแล้ว ดันเกิดรู้ตอนจบเกมส์ขึ้นมาก่อนผมก็จะเลิกสนใจเกมส์เกมส์นั้นทันที....ผมเลยต้องเปลี่ยนมันไปเรื่อยๆ

“เฮ้ออออออ” ผมทิ้งร่างเปียกชื้นของตัวเองลงบนเตียง ข้าวของถูกวางส่งๆบนพื้น ได้ซุกหน้ากับหมอนแค่แปปเดียวก็ต้องรีบพาตัวเองลุกนั่งพร้อมหยิบกระเป๋ามาพิจรณาสภาพข้าวของข้างใน เมื่อเปิดดูและพบว่าไม่มีอะไรเสียหายหรือได้รับผลกระทบจากความชื้นของกระเป๋าผมก็สบายใจ เทข้าวของออกมาเอากระเป๋าไปตาก แล้วเดินไปหยิบถุงขนมปังไส้ครีมมานั่งกินพร้อมเปิดทีวีดู

“กินยาไว้หน่อยก็ดีนะ นายอาจจะไม่สบาย”
“อื้อ รู้แล้วล่ะ”
“งั้น ไปนะ”

“โอโนะคุง”
“?”
“ขอบใจนะ”
คนผิวคล้ำเพียงแค่ยิ้มหล่อให้แล้วหันหลังตบเท้ากลับไปทางเดิมหลังจากที่ส่งผมถึงหน้าหอพัก หรืออพาร์ทเม้นที่ผมพักอยู่ เราสองคนหลบฝนกันอยู่ที่ตู้โทรศัพท์สักพักจนฝนเริ่มซาลง พวกเราถึงวิ่งฝ่าฝนออกมาอีกครั้ง ความจริงแล้วถ้ามาคิดดูดีดี ให้ผมวิ่งฝ่ามาเองอาจจะยังกลับไม่ถึงก็เป็นไปได้ เผลอๆอาจจะหนีไปหลบฝนอยู่ที่ใดที่หนึ่งจนฝนมันหยุดไปเองเลยกว่าจะยอมวิ่งออกมา และผลพลอยได้คืออาจจะต้องทนหนาวจนไข้จับ นึกเรื่องไข้หวัดขึ้นได้ ผมควรจะกินยาดักไว้ก่อน ก่อนที่คุณไวรัสเขาจะมาเยี่ยมเยียนเบาๆ ผมไม่ค่อยจะป่วยกับเขาหรอกแต่ถ้าป่วยทีก็ป่วยเลยนะ เรียกได้ว่าซมไปเลย ดังนั้นรักษาสุขภาพไว้เป็นดีที่สุด ถึงปกติการใช้ชีวิตประจำวันของผมจะห่างไกลกับคำนั้นมามากโข
“ยาอยู่ไหน..ยา..ยา” ผมเดินหาไปรอบๆห้อง ครั้งสุดท้ายที่เห็นมันคือช่วงปี1 และก็ไม่ได้แตะต้องมันอีกเลย หรือจะเผลอทิ้งไปแล้วนะ...งั้นช่างเถอะไม่ต้องกินก็ได้คงไม่เป็นอะไรหรอก รีบเปลี่ยนเสื้ออาบน้ำแทนแล้วกัน.....

เสียงโทรศัพท์ที่ผมใช้ต่างนาฬิกาปลุกแหกปากลั่นขึ้นมา และสั่นอย่างบ้าคลั่ง ตาหนักๆของผมลืมขึ้นมา ยากลำบากมากครับเนื้อตัวมันน่วมไปหมดไม่รู้ทำไม  ผมค่อยๆเอื้อมมือไปคว้าเจ้าโทรศัพท์ที่กำลังส่งเสียงแผดแสบแก้วหูขึ้นมาดูเวลา
“ชิบหาย! ทำไมสายป่านนี้แล้ว!” ใช่เพราะมันเลยเวลาที่ควรตื่นมากว่า 50 นาทีแล้ว แสดงว่ามันแผดเสียงมากว่า 50 นาทีแล้ว แต่ผมไม่ได้ยิน ผมเด้งตัวลุกขึ้น แต่ยังไม่ทันที่ขาจะได้ก้าวพ้นจากเตียงครบสองข้างทันทีที่ผมยันตัวขึ้น โลกทั้งใบมันเคว้งไปหมด น้ำลายของผมขมปร่าขึ้นมา อะไรบางอย่างมันแล่นขึ้นมาบนหัวแปล๊บเดียวเท่านั้น ผมจำต้องทิ้งตัวลงนั่งกับเตียงทันที “โอ่ย....เวียนหัว” พอได้เอามือขึ้นมาประครองหัวเท่านั้นแหละ
“ถ้าตัวจะร้อนขนาดนี้นะ คาซึนาริ” นาทีนั้นเองที่ผมรู้สึกเหมือนอยากจะอาเจียนเอาไอ้คลื่นทะเล หรืออะไรก็ช่างที่มวลหมุนวน และพร้อมจะดันขึ้นมาอยู่ที่อกที่คอ หรือเพราะน้ำลายมันขมปร่าเลยทำให้เป็นอย่างนี้ จะเป็นอะไรก็ช่างผลสรุปของอาการทั้งหมดทั้งมวลคือนาย “ไม่สบาย”น่ะ คาซึนาริ!
ถึงจะรู้สึกเหมือนจะตายให้ได้ แต่ผมก็ต้องไปเรียน....ผมสูดหายใจลงปอดฮึดขึ้นมา ลุกขึ้นไปจัดการตัวเองก่อนจะคว้ากระเป๋าแล้วพาตัวเองออกนอกห้องไป....

“ถ้านายจะมาสายขนาดนี้ นายไม่โดดไปเลยล่ะนิโนะ”  ไม่ใช่ใคร เพื่อนสนิทที่ควบตำแหน่งหัวหน้าเซคเรียนไปด้วย คนที่คอยโทรมาบอกผมเรื่องสอบไม่สอบ เรียนไม่เรียน ‘มัสซึจุน’ หรือชื่อเต็ม มัสซึโมโต้ จุน ไอ้หมอนี่จัดเข้าค่ายว่าหน้าตาดี - ดีเกินมนุษย์มนา อีกทั้งยังสูงขาว คิ้วเข้ม คารมณ์ดี ทำอาหารเก่ง เพอร์เฟคแมนดีดีนี่เองครับ เจ้าตัวท่านลากเก้าอี้ให้ผมนั่งลงไม่แคร์สายตาอาจารย์ที่จ้องผมรายกับจะจับไปทำคาซึนาริแดดเดียว พอได้นั่งเท่านั้นอาการชวนโหเมื่อเช้าก็กลับมาโจมตีผมอีกครั้ง เล่นเอาผมฟลุบลงกับโต๊ะ อยากจะเข้าเฝ้าพระอินทร์ให้รู้แล้วรู้รอดไปอีกครั้ง
“เฮ้ยๆๆ มาสายแล้วยังจะมาหลับอีก ลุกเลยนะท้ายคาบมีส่งเนื้อเพลง โอ่ย” มัสซึจุนเขาพยายามจะปลุกผมครับ แต่เหมือนจะโดนตัวผมได้นิดเดียวเจ้าตัวก็ชักมือกลับทันที ก่อนจะจับหัวผมยกขึ้นแล้วเอาหลังมือทาบลงมาบนหน้าผากผมพอดี
“เฮ้ยยยยย ตัวร้อนขนาดนี้ไม่ขำแล้ว นิโนะ!!” ถ้านายจับชั้นแล้วตัวชั้นเย็นเฉียบนายจะขำไหมล่ะ? ผมบ่ายหน้าหลบมือขาวๆของมัสซึจุน เพราะไม่ชอบให้ใครมาเห็นหรือรับรู้เกี่ยวกับสภาพน่าอนาถของผม
“เออน่า ไม่ตัวเย็นก็ดีแล้ว”
“ไม่ขำนิโนะ จะมาเรียนทำไม” โดนดุเข้าให้ ขอโทษนะถ้าไม่ติดว่าไอ้งานที่ต้องส่งท้ายคาบน่ะ ชั้นกับนายอยู่กลุ่มเดียวกันก็ไม่มาหรอก...ผมอยากจะพูดออกไปแต่หมดแรงจะต่อล้อต่อเถียงจริงๆนอกจากไหลลงกับโต๊ะเหมือนเดิม และดูเหมือนเพื่อนที่นั่งข้างหลังจะได้ยิน
“มัสซึจุน นิโนะเป็นอะไรเหรอ?”
“ไม่สบายน่ะสิ ตัวร้อนจี้เลย”
“เห....แล้วให้นั่งเรียนแบบนี้จะดีเหรอ?”
“กำลังจะลากไปห้องพยาบาลอยู่เนี่ย!” กลายเป็นตอนนี้มีสอง มัสซึ ผันตัวมาเป็นผู้ปกครองจำแลงของผม อ่อ มัสซึอีกคน ชื่อว่า มัสซึเคน หรือ เคนจัง ชื่อเต็มว่า มัสซึยาม่า เคนอิจิ ตัวใหญ่ สูง หน้าไม่คมเท่ามัสซึจุน แต่จัดว่าหล่อเกินมนุษย์ ปากหยัก พร้อมไฝข้างจมูกที่โคตรมีเสน่ห์ และแถมด้วยบั้นท้ายงามๆ ที่ไม่ว่าใครเห็นก็อยากจะเอามือไปลูบไปตี ผมก็ทำบ่อยๆ เห็นแล้วอดไม่ได้จริงๆ  ทั้งสองมัสซึกำลังปรึกษากันว่าจะเอายังไงกับผมดี ทั้งหมดทั้งมวลเหมือนจะติดเรื่องส่งเนื้อเพลงเก็บคะแนนใหญ่ท้ายคาบนี่แหละ....”ก็บอกว่าไม่เป็นไรไง...ไม่ต้องห่วงให้เวอร์หรอกน่า เคนจัง มัสซึจุนด้วย”
ผมยันตัวขึ้นมานั่งตรง แสดงให้เห็นว่าพวกเขาห่วงผมมากไป ถึงแม้ในความรู้สึกผมที่พวกเขาห่วงมันอาจจะน้อยไปด้วยซ้ำสำหรับอาการตอนนี้ แต่ผมเกลียดการเป็นตัวถ่วง ถึงจะรู้ดีกว่าคนรอบตัวเป็นห่วงแต่ผมก็ไม่อยากจะเป็นถ่วงใครอย่างถึงทีสุด “หน้านายซีดมากเลยนะนิโนะ” เคนจังทักขึ้นมา ซึ่งผมก็พอจะเดาออก..ปากผมคงไร้สีไปแล้วล่ะ เห็นหน้ามัสซึจุนแล้วอยากจะหันหนี ทำหน้าอย่างกับผมจะเป็นอะไรไปงั้นแหละ “เรารีบเขียนเนื้อเพลงให้เสร็จ แล้วชั้นจะรีบกลับไปนอน โอเคมั้ย?” ทั้งสองคนพยักหน้ารับช้าๆ  ตอนเขียนเนื้อเพลงผมพูดอะไรออกไปบ้างผมยอมรับว่าจำแทบไม่ได้เลย เหมือนจะมีแต่มัสซึจุนคนเดียวด้วยซ้ำที่พูดออกมา แล้วขีดๆเขียนๆ
ถ้าจะให้พูดจริงๆ มีแค่ผมเท่านั้นที่เรียนคณะดุริยางคศิลป์ ส่วนเคนจังเนี่ยมาจากคณะสังคมศาสตร์ ส่วนมัสซึจุนมาจากอักษรศาสตร์แต่ทั้งคู่มาเก็บวิชานี้เป็นวิชาเสรี และเพราะเป็นคุณเพื่อนกลุ่มๆเดียวกับผมพี่ท่านเลยมาลงเรียนด้วย ด้วยเพราะคอนเซ็ปประจำกลุ่มกว่า ไปไหนไปด้วยกัน เรียนอะไรเราก็เรียนด้วยกัน สอบเราก็ช่วยกัน ซ่อมเราก็ต้องช่วยกัน ยกเว้นเรื่องเงินในกระเป๋าอันนั้นช่วยตัวเองครับ..

รู้ตัวอีกทีกระดาษเนื้อเพลงของกลุ่มเราก็ปลิวไปที่โต๊ะอาจารย์แล้ว พร้อมกับมัสซึจุนที่เดินมาปลุกผม “เฮ้ นายควรรีบกลับไปนอนได้แล้วนะ คาบบ่ายเดี๋ยวลาให้” ผมเงยหน้ามองสองเพื่อนซี้ก่อนจะพยักหน้ารับช้าๆแล้วพยายามจะพาร่างตัวเองออกไป โดยมีมัสซึจุน กับเคนจังเดินประกบข้างมามาจนทางออกของมหาลัย
“ส่งแค่นี้ก็พอ เดี๋ยวกลับมาเข้าเรียนไม่ทัน เคนจังภาคบ่ายเรียนเศรษฐศาสตร์ไม่ใช่เหรอ?” เจ้าตัวพยักหน้ารับแบบไม่เต็มใจเท่าไหร่ ผมรู้ว่าเคนจังอยากไปส่งผมให้ถึงห้องพอพอกับมัสซึจุน แต่วิชาภาคบ่ายของทั้งมัสซึจุนและเคนจังนับว่าเป็นวิชาเอกที่อาจารย์ค่อนข้างเข้มงวด ผมไม่อยากให้ใครมาเดือดร้อนเพราะผม...
“ถึงห้องแล้วทานยาด้วยนะ”
ถ้าเกิดหาเจอนะ...”อือ” ผมไมได้พูดประโยคแรกออกไป สั่งเสีย(?)กันซักพักเคนจังกับมัสซึจุนก็ยอมพาหน้าหล่อๆกลับเข้ามหาลัยกันไป ผมถึงได้เดินออกมา จะว่าไปแวะไปซื้อขนมปังหน่อยดีกว่า...เผื่อไปหาโอโนะคุงด้วย

“สวัสดีครับ” ผมชะโงกหน้าผ่านเข้าไปในร้าน เพราะหน้าร้านไม่มีคนเฝ้าเหมือนทุกที เพียงแปปเดียวเท่านั้นเสียงคุณป้าก็ขานออกมา “อ้าวคาซึจังวันนี้มาเร็วจังเลย ไม่มีเรียนตอนบ่ายเหรอ?”
“ฮ่ะๆๆๆ ก็ทำนองนั้นครับ”
“ตายแล้วทำไมหน้าซีดแบบนั้นไปทำอะไรมา” ไม่พูดเปล่าคุณป้าท่านมือไว พูดเสร็จก็เอาหลังมือมาอังแก้มผมทันทีก่อนจะอุทานออกมาเสียงดัง “ว้าย!! ตัวร้อนจี้เลย”
“ไม่เป็นไรมากหรอกครับ แค่กๆ”
“ไม่เป็นไรได้ไง!!! มานี่เลยนะ”
ก่อนที่ท่านจะได้เดินออกมาลากผมเข้าไปข้างใน รอบนี้ผมไวพอจะผละตัวหนีออกมานิดหน่อยเป็นการปฏิเสธด้วยภาษากาย “ผมไม่เป็นอะไรจริงๆ  ว่าแต่โอโนะคุงไม่อยู่เหรอครับ?”
“ซาโตชิน่ะเหรอ? เขามีเรียนน่ะจ่ะ” ชัดเจนมาเสียเที่ยวจริงๆคาซึนาริ
“งั้น...ผมขอตัวก่อนนะครับ”
“กินยาด้วยนะ สีหน้าไม่ดีเลย” ผมยิ้มรับความห่วงใยของคุณป้าก่อนจะโค้งลาและเดินออกมา

การพาตัวเองกลับมาห้องด้วยสังขารแบบนี้นับว่าเป็นเรื่องยากพอสมควร เมื่อผมอยากจะล้มนอนมันข้างๆทางมาสามรอบได้ แต่ผมก็พาตัวเองมาถึงห้องจนได้ และนึกขึ้นได้ว่า “ลืมซื้อขนมปัง” แย่จริงคาซึนาริ....แต่ก็นึกขึ้นได้ว่ายังพอมีเหลืออยู่ในตู้เย็น แต่ตอนนี้ผมหมดแรงแล้วจริงๆ แค่จะเดินไปเปิดตู้เย็นผมก็ยอมแพ้จริงๆ และผมก็นึกขึ้นได้อีกอย่างว่าตั้งแต่ตื่นนอนมายังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยสักอย่าง “อะไรมันจะยากขนาดนี้....” คาซึนารินายควรหยุดคิดอะไรทุกอย่างแล้วนอนหลับไปซะ ตื่นมาค่อยว่ากันนาทีนี้ ร่างกายกำลังประท้วงให้นายได้นอนพัก! พอคิดได้แบบนี้ผมก็ปล่อยให้ตัวเองหลับไป....

“ทาไดมะ” เงยหน้าขึ้นมองนาฬิกาบนข้างฝา โอเคเซฟยังไม่ถึงเวลาเลิกเรียนของทูนหัว วันนี้ซาโตชิตั้งใจแล้วว่าจะทำตัวเป็นลูกกตัญญูอยู่เฝ้าหน้าร้านช่วยครอบครัวทำมาหากิน! แต่ยังไม่ทันจะได้ตอบแทนพระคุณอย่างที่ตั้งอกตั้งใจ คุณแม่บังเกิดเกล้าก็สวนออกมาเสียก่อน “อ้าวกลับมาแล้วเหรอ?” ครับกลับมาแล้วครับ ผมไม่ได้กลับมาเอาของแน่นอนครับ
ผมมองเข้าไปที่ตู้ขายขนมปังหน้าบ้าน(หรือร้านนั่นแหละ) เห็นว่ายังไม่มีขนมปังที่เอาไว้เลี้ยงหวานใจเลยหันไปมองหน้าแม่เป็นเชิงถาม พอท่านเห็นแบบนั้นก็เหมือนจะเข้าใจภาษากายของลูกตัวเองทันทีก่อนจะเอามือขึ้นแตะหน้าตัวเองท่าทางกลุ้มใจ
“วันนี้น้องเขาไม่มาหรอกลูก”
“ทำไมครับ?” คุณแม่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ๆ ก่อนจะเดินดุ่มๆไปนั่งที่เก้าอี้ประจำ
“ท่าทางจะไม่สบายน่ะสิ หนักด้วยเมื่อกลางวันแวะมา เอ้อ!จะว่าไปน้องไม่ได้ซื้อขนมปังไปด้วยนี่นา” ประโยคครึ่งหลังจากคำว่า ‘ไม่สบาย’ ผมฟังไม่รู้เรื่องสติสตังค์ผมลอยออกจากร่างตั้งแต่รู้ว่าน้องไม่สบายแล้ว
“ตายจริง...เอาไงดีล่ะ เป็นห่วงคาซึจังจังเลย...เหมือนจะอยู่หอพักคนเดียวด้วย จะทานยาทานข้าวรึยังไง ตัวยิ่งเล็กๆอยู่ ปกติออกจะร่าเริงแท้ๆ” นี่ไม่ใช่ลูกในไส้ตัวเองแท้ๆยังห่วงขนาดนี้ ไม่เป็นไรนะครับ ซาโตชิคนนี้จะทดแทนพระคุณ เอาเขามาเป็นลูกบ้านเราให้แม่ได้สมใจเอง แต่ตอนนี้ผมอยู่ไม่สุขแล้วครับ!!!!!
“จริงสิ วันก่อนซาโตชิบอกว่าไปส่งน้องเขาที่หอใช่ไหม...แม่วานหน่อยสิ เอาของไปน้องเขาทีนะ” พูดจบคุณแม่ท่านก็จัดแจงคีบขนมปังไส้ครีมที่พอมีใส่ถุงกระดาษให้ พร้อมทั้งขนมปังอย่างอื่น ไม่พอนะครับท่านเดินหายเข้าไปในบ้านสักพักนึงก่อนจะออกมาพร้อมข้าวกล่องน้อยๆ ใส่ห่อผ้าผูกอย่างดี “เอาไปให้น้องเขาที แม่ล่ะเป็นห่วงไอ้ตัวเล็กจริงๆ...” โถคุณแม่อะไรจะเป็นใจกับลูกชายขนาดนี้ครับ ซาโตชิยินดีรับหน้าที่นี้ไม่เกี่ยงงอน แต่จะดีมากถ้าช่วยผมเตรียมทุนไปสู่ขอน้องมาเป็นลูกแม่อีกคน ผมรีบวางกระดานวาดภาพและสัมภาระที่แบกไปเรียนทั้งหมดไว้ที่ร้าน และรับของทั้งหมดนั่นมาถือไว้ ยังไม่ทันจะได้ถอดรองเท้าก็ตบเท้าออกไปข้างนอกอีกครั้ง แน่นอนว่าครั้งก่อนไม่ได้ไปส่งน้องถึงบนห้องแค่หน้าอพาร์ทเม้นที่พักอยู่ไม่ไกลมากนักแต่ก็ใช้เวลาสักนิด ถึงวันนั้นจะฝนตกหนักแต่ผมจำทางแม่น ผมรีบตรงดิ่งไปทันทีด้วยกลัวน้องเขาจะอาการไม่สู้ดีเผื่อจะได้พาไปโรงพยาบาล

ที่หน้าอพาร์ทเม้นผมเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าผมไม่รู้ว่าน้องเขาพักห้องอะไรและชั้นไหน และสำคัญเหนืออื่นใด ผมไม่มีเบอร์คาซึ!!!
“เวรของแท้ซาโตชิเอ้ย”...ผมมองซ้ายมองขวาหาคนที่ดูเหมือนเจ้าของตึกและก็บิงโก! คนที่กวาดใบไม้ตรงนั้นมีเปอร์เซ็นสูงจะใช่ผมรีบเดินเข้าไปหาคุณลุงท่าทางใจดี
“คือว่า...”
“หือ?...สวัสดีครับ”
“ผมมาหา นิโนะมิยะ คาซึนาริ น่ะครับไม่ทราบว่าเขาพักอยู่ห้องไหนเหรอครับ?” คุณลุงท่านจ้องหน้าผม พร้อมขยับแว่น
“ไม่ใช่มัสซึจุน หรือเคนจังนี่? เพื่อนของนิโนะคุงเหรอ?” ผมไมได้พูดอะไรมาก นอกจากพยักหน้าไป ก่อนจะชูของที่แม่ฝากมือให้ลุงเขาดู “คือผมเอาไอ้นี่มาให้เขาน่ะครับ เหมือนเขาจะไม่ค่อยสบาย” คุณลุงเขามองผมอีกนิดหน่อยก่อนจะยอมบอกเลขห้องน้องออกมา สงสัยที่นี่ใช้ระบบจดจำหน้ากันเอง ใครพาเพื่อนมาต้องเอามาแนะนำกับคุณลุงเจ้าของตึกสินะ งั้นผมควรแนะนำตัวไว้เลยไหมเพราะในอนาคตข้างหน้าผมคงมาเข้าออกที่นี่บ่อยๆ
ผมเดินมาหยุดที่หน้าห้องของคาซึจังของคุณแม่เขาแล้ว แต่ที่ทำให้ผมกระวนกระวายใจคือ การที่ผมเคาะห้องไปแล้วสามรอบแต่กลับไม่มีเสียงตอบรับออกมา หรือเจ้าตัวจะไม่อยู่ห้อง?
ก๊อกๆๆ “นิโนะมิยะ”    ไร้เสียงตอบรับ
ก๊อกๆๆ “นิโนะ”..........เงียบ
ก๊อกๆๆๆๆๆๆ “คาซึนาริ”    ไม่มีแม้แต่เสียงสะท้อน
ปังๆๆๆๆ  “คาซึ!”  อะไรบางอย่างทำให้ผมมั่นใจว่าเจ้าตัวอยู่ในห้องแน่ๆ แต่ทำไมถึงไม่ขานรับ หรือไม่มีแม้แต่เสียงน้ำจากในห้องน้ำในกรณีที่อาบน้ำอยู่  แต่ผมก็แทบอยากจะวิ่งชนประตูให้มันรู้แล้วรู้รอดเมื่อลองบิดลูกบิดดูและพบว่ามันไม่ได้ล็อคอย่างที่เข้าใจ
“นิโนะ?” ในห้องมืดและเงียบสนิท ผมค่อยๆปิดประตู ถอดรองเท้าและเดินเข้าไป ห้องไม่กว้างมาก ไม่ถึงกับรกแต่ก็ไม่ได้เรียบร้อยมากนัก มีกีต้าร์วางอยู่มุมห้อง โต๊ะเขียนหนังสือ ชั้นหนังสือเล็กๆ โซนครัวก็เล็กไม่กินพื้นที่พร้อมทั้งยังเป็นโต๊ะนั่งทานข้าวไปในตัว มีโซฟาอยู่หน้าโทรทัศน์ รวมๆแล้วก็เป็นห้องที่จัดสรรลงตัว เจ้าตัวก็ไม่ได้มีข้าวของเยอะมากจนดูรก แค่มันไม่ได้วางอย่างเป็นระเบียบและมีเสื้อผ้ากองตามพื้นบ้าง ตามประสาผู้ชาย แล้วผมก็เจอคนที่มาหานอนหลับคลุมผ้าเกือบจะมิดทั้งตัวทำให้ผมไม่ทันสังเกต แม้ว่าผมจะเดินเข้าไปใกล้ก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะรู้สึกตัวสักนิด
“เฮ้..นี่...” คิ้วของผมขมวดกันทันทีที่มือของผมไปสัมผัสบนผิวกายร้อนระอุเป็นไฟของคนตรงหน้า นี่มันไข้สูงเลยนะ!! และดูท่าเจ้าตัวจะไม่รู้สึกตัวเลยว่ามีคนบุกรุกเข้ามา ทั้งยังหลับสนิทไม่รู้เรื่อง ผมมองหาวี่แววของยาปฏิชีวนะรอบๆหัวเตียง โต๊ะ ตู้ ที่ที่น่าจะมีความเป็นไปได้ว่ามันจะต้องวางอยู่ แต่ผมไม่เห็นอะไรสักอย่างแม้แต่แก้วน้ำ ทำให้สรุปได้ว่าคนที่นอนอยู่ตรงหน้า ไม่ได้ทานยา....”อะไรจะขนาดนี้” ผมบ่นเบาๆก่อนจะจัดแจงวางของที่คุณแม่ฝากมาไว้ในครัว แล้วเดินไปเตรียมของเช็ดตัวให้คนป่วยก่อน  เดี๋ยวนะ!!!! เช็ดตัวแล้วควรจะเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ด้วยไหม? แล้วต้องเช็ดถึงไหน? พระเจ้า!!! ทำไมถึงชอบประทานโอกาสมาให้ซาโตชิในยามที่ไม่เคยจะได้ตั้งตัว...พระองค์จะทดสอบอะไรลูกก็บอกตรงๆครับ ลูกยินดีทำทุกอย่างแต่อย่างแกล้งกันแบบนี้เลย มองร่างตรงหน้าแล้วน้ำเหนียวครับ มองมาเป็นปี จินตนาการไปไม่รู้เท่าไหร่ จู่ๆจะได้มาเห็นและสัมผัสของจริงแบบไม่คาดฝัน ซาโตชิเอ้ย! กายพร้อมใจพร้อม จงหยุดคิดอกุศล น้องไม่สบายเราแค่จะเช็ดตัวไม่มีอะไรมากกว่านั้น! จงทำดี ท่องไว้ให้ขึ้นอก
แต่ถึงจะพูดอย่างนั้น....หน้าตอนหลับ กับอาการหอบหายใจไร้ผมชื้นเหงื่อ สีหน้าติดทรมานมัน...คงยากถ้าจะไม่คิดอะไรเลย ผมเองก็ชายหนุ่มสุขภาพดียังฟิตปั๋ง ถามหน่อยไม่ให้น้ำลายเหนียวพร้อมจิตอกุศลที่แว่บขึ้นมาเรื่อยๆ ผมคงไม่ปกติแล้วครับจริงๆ   ถึงแม้ยามปรกติผมจะเป็นคนค่อนข้างสมาธิสูง(ในที่นี้คือหัวสมองว่างเปล่ามาก)แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคนอย่าง โอโนะ ซาโตชิ จะไม่ได้คิดอะไรในหัวสมองเลยแค่คิดแต่ไม่พูดออกมาเท่านั้นเองครับ เพราไม่รู้จะพูดไปทำไมเลยได้มองแล้วก็มอง หลายคนก็เลยตัดสินไปเองว่าผมเป็นคนเฉื่อยชาซึ่งผมก็ไม่ได้สนจิตสนใจอะไรกับเรื่องนั้น ขอให้ผมได้ไปหาทะเลแสนงามกับตกปลาจ๋าก็พอครับ อ่อ...รวมถึงคนที่กำลังนอนหอบหายใจตรงหน้าผมด้วย เอาล่ะฟุ้งซ่านมาหลายบรรทัดผมควรผละไปเตรียมน้ำอุ่นผ้าอะไรก็ตามที่ใช้เช็ดตัวให้คนป่วยได้แล้ว

ความทรงจำสุดท้ายของผม...คือภาพเตียงของตัวเองที่ผละออกมาอย่างเร่งรีบเมื่อเช้า และหลังจากนั้นก็เรียกได้ว่าทรมานครับ อย่างที่บอกคนอย่างนิโนะมิยะเดอะแชมป์เปี้ยนไม่ค่อยจะป่วยง่ายกับใครเขา แต่ถ้าลองได้ตกที่นั่งไวรัสเข้าเล่นงานเข้าเรียกได้ว่าซมซานเลย ยาก็ไม่ได้แตะ ข้าวก็ไม่ได้ตกถึงท้อง มื้อสุดท้ายคือขนมปังไส้ครีมของเมื่อวานจนตอนนี้ที่ผมไม่รู้ว่ากี่โมงกี่ยามแล้ว รู้สึกสบายตัวมากขึ้น คือสิ่งที่ผมค้นพบเมื่อพยายามจะลืมตาขึ้นมา ความรู้สึกวิงเวียนยังเล่นงานผมอยู่แต่ร่างกายผมรู้สึกสบายมากขึ้น ก่อนกลิ่นหอมอ่อนๆจะลอยมาเตะจมูกผมจากทางโซนครัวผมคงกำลังฝันดีอยู่ว่าคนในครอบครัวคงบังเอิญมาเยี่ยมผมและพบว่าผมเป็นไข้เลยดูแลผม..สินะ?
“อ่า...น้ำ” เพราะนี่เป็นฝัน ผมจะพูดหรือเรียกร้องอะไรออกไปคงต้องมารู้สึกผิดหรือเกรงใจได้สินะ แล้วก็เป็นอย่างคาดน้ำมาเสริฟถึงที่เลยครับ ผมพยายามจะลืมตามองให้ถนัดว่าใครกันนะที่ผมฝันถึง........นั่นทำให้ผม สำลักน้ำ
“แค่กๆ ๆๆ”
“ค่อยๆดื่มสิ...” คนที่ผมฝันถึงวางแก้วน้ำลงแล้วเปลี่ยนมาลูบหลังผมแทน ก่อนจะค่อยๆประครองผมให้นอนลงเหมือนเดิม ก่อนจะผละไปทางโซนครัวเหมือนเดิม ไอ้ที่มาของกลิ่นหอมๆนี่คืออะไรที่เขากำลังง่วนทำอยู่สินะ
ผมไม่ได้พูดอะไรแค่แปลกใจว่าทำไมคนที่มาอยู่ในฝันถึงต้อง โอโนะ ซาโตชิ และมันก็เหมือนจริงมากแต่มันติดแค่ที่มันเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะมาอยู่ในห้องของผม ผมจึงสรุปได้ทันทีว่ามันคือฝัน “นี่ ชั้นสนใจนายจนเก็บเอามาฝันขนาดนี้เลยเหรอ?” ผมตะแคงไปหาคนที่อยู่ในครัวก่อนจะต้องหัวเราะคิกคักออกมาเพราะคนถูกถามที่เงยหน้าขึ้นมามองผมถึงกับทำช้อนตก
“ขนาดในฝันยังซุ่มซ่ามเลยนะ” ผมยิ้มปลอบใจให้คนซุ่มซ่ามที่ก้มหนีผมเหมือนทุกที และง่วนกับการทำอะไรเคร้งคร้างอยู่ที่เตาไฟฟ้าเงียบๆ น่าแปลกที่ถึงแม้จะในฝันร่างกายผมกลับรู้สึกแย่เหมือนความเป็นจริง ทั้งๆที่มันน่าจะเบาหวิวแต่กับหนักหน่วง ผมก็ไม่อยากจะฝืนมันปล่อยให้ตัวเองหลับตาลงทั้งๆที่ยังตะแคงหน้าเข้าหาทางโซนครัวแบบนั้น แต่ได้แค่แปปเดียวเท่านั้น เพราะผมยังพอรู้สึกตัวอยู่ความรู้สึกยวบที่ข้างเตียงทำให้ผมต้องลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง คนมาดูแลผมถึงในฝันประครองผมให้ลุกขึ้นนั่งดีดีก่อนจะตักโจ๊กมาจ่อที่ปากผม
“ค่อยๆทานนะ” ผมทำตามอย่างว่าง่าย เพราะในหัวมันโล่งจนคิดอะไรไม่ออก บอกตรงๆนะโจ๊กมันแทบจะไร้รสชาติเลยสำหรับผมน่ะ แต่ก็ไม่แปลกใจเท่าไหร่ในเมื่อนี่มันคือฝันนี่นา มันจะไปรู้สึกชาติได้ยังไง คนป้อนเขาป้อนผมอย่างใจเย็น เพราะผมทานช้ามาก แน่สิก็ผมเวียนหัวนี่แต่เขาก็ค่อยๆป้อนผมจนหมด ผมถึงรู้สึกว่าเขาลุกออกไปแล้วก็มีเสียงเคร้างคร้างดังจากทางโซนครัวอีกครั้ง
“นี่ฝืนมาทานยาก่อนเถอะ” อะไรจะฝันดีขนาดนั้นนิโนะมิยะ คาซึนาริ นายไม่มียาเลยนายรู้ดียามันก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาได้เองสินะในฝันน่ะ แต่ไหนไหนก็พอจะรู้สึกตัวขอลองเชิงมันหน่อยเถอะว่ามันจะสมเหตุสมผลไหมว่าทำไมจู่ๆในห้องผมถึงมายาขึ้นมาได้ คุณเคยไหมล่ะ?ที่ฝันแล้วจู่ๆอะไรก็เกิดไม่มีที่มาที่ไปแล้วไอ้เราก็ดันคล้อยตามไปเสียทุกครั้ง ครั้งนี้ไม่ใช่กับนิโนะมิยะเดอะแชมป์เปี้ยนแน่นอน! อะไรที่มันพอจะลองเอาชนะได้ คนอย่างผมแม้จะป่วยซมก็ไม่อยากจะแพ้แน่นอน
“นายไปเอามาจากไหน?...ยาน่ะ” ผมฝืนพูดออกไปอย่างยากเย็น แม้จะเวียนหัวจนอยากจะหลับๆไปให้รู้แล้วรู้รอดแต่ก็ไม่อยากจะทิ้งโอกาสได้เล่นสนุกกับฝันตัวเอง
“ซื้อมาน่ะสิ” อะไรจะสมเหตุสมผลขนาดนั้น แม้แต่ในฝันของชั้นนายยังต้องจ่ายอีก ผมนี่งกเข้ากระดูกจริงๆ
“ลำบากแย่เลยนะ” ผมพูดไปกลั้วขำแบบฝืนๆ ก่อนจะทันได้ซักอะไรอีกผมก็ต้องทานยาเสียแล้วเพราะโอโนะคุงเขายกแก้วมาจรดริมฝีปากแล้วส่งยาเขาปากผมตามมาติดๆ ผมก็ได้แต่ต้องกลืนๆมันเข้าไป “ทีนี้ก็พักได้แล้ว” คุณเขาค่อยๆประครองผมให้นอนดีดีก่อนจะยกผ้าห่มมาห่มให้ผมจนถึงคอ
“ตื่นมาก็หาอะไรทานซะนะ แม่ชั้นฝากข้าวกล่องกับขนมปังมาให้ เอามาเวฟซะ แล้วอย่าลืมกินยานะ ชั้นวางไว้ให้ที่หัวเตียง” คนดูแลเขาสั่งเสียไว้ซะยาวเหยียดบอกตรงๆผมไม่ได้ใส่ใจจะฟังหรือจำเท่าไหร่ เพราะมันเป็นแค่ฝันแต่ก็ดีใจลึกๆนะที่ในฝันโอโนะคุงเขาจะเป็นห่วงผมขนาดนี้  ก่อนที่คนใจดีเขาจะได้ลุกออกไป ผมก็คว้าหมับเข้าให้ที่ชายเสื้อเขา
“นี่...ถ้าจะมาเข้าฝันกันขนาดนี้ ก็อย่าออกไปเองโดยพลการสิ”
คนโดนทักมองหน้าผมคิ้วขมวดเลยครับ อะไรจะสมจริงปานนั้น ผมหัวเราะอ่อนๆออกมา แล้วก็จัดการพาดแขนไปรอบเอวของโอโนะคุงจัดแจงพาตัวเองไถลขึ้นไปนอนซุก สำหรับผมมันแทนคำว่า “ขอบคุณนะ ทีนี้จะออกจากฝันก็ออกเถอะ แต่ขอนอนอย่างนี้นะ” แล้วก็เป็นอีกครั้งที่ผมหลับไป.....

“ฮัลโหลครับ อือ ไม่เป็นไรแล้ว อือ ให้ทานยาแล้วครับ ครับ” ผมค่อยๆวางโทรศัพท์ลงข้างตัวอย่างเบามือที่สุด ด้วยกลัวว่าคนที่นอนซุกแถมยังเอามือมากอดเอวผมไว้จะตื่นเอา บอกตรงๆนะในใจผมล่ะอยากจะลักหลับให้มันสมหมายใจเรียกร้องกระเส่าๆอยู่ แต่มันไม่ใช่วิสัยของผู้ชายอย่างโอโนะ ซาโตชิเท่าไหร่ แต่ผมจะบอกอะไรพวกคุณอย่าง  ผมมีความสุข
“ถ้าตื่นมาแล้วรู้ว่าไม่ใช่ฝันจะทำหน้ายังไงนะ” คิดแล้วก็ขำดี...
“อือ...โอโนะคุง...อยากชนะ...ชั้นอยากชนะนาย” ชนะ? ที่รักผมละเมออะไรออกมา? จะชนะอะไรผม?  หรือกำลังฝันว่าเราเล่นเกมส์กันอยู่นะ?
“ชนะใจนาย..ได้ไหมโอโนะคุง” ขุนพระ!! ละเมออะไรออกมาครับคนดีของพี่!!! ไม่ต้องบอกพี่ ไม่ต้องขอพี่ ไม่ต้องอ้อนพี่ แค่น้องยืนตรงนั้น ยืนเฉยๆ น้องก็ชนะแล้วครับ!! อะไรจะน่ารักปานนี้....”แย่แล้ว” ใช่แย่แล้วซาโตชิ นายกำลังจะหมดความอดทน!!!!!

ในฝันโอโนะ ซาโตชิโผล่มาดูแลเผ้าไข้ของผม  เขายังยอมนั่งหัวเตียงให้ผมซุกกอดตามประสาคนชอบนอนซุก อาหารฝีมือโอโนะคุงไม่ได้ดี แต่ผมก็ทานจนหมด...
ในฝันโอโนะคุงเขาก้มลงมาบอกราตรีสวัสดิ์ผม ผมทั้งจูบลงที่ขมับ
ในฝัน ผมยิ้มออกมา ก่อนจะเห็นภาพเขาเปิดประตูห้องผม ออกจากฝันของผมไป....

เกมส์นี้ผมจะต้องชนะให้ได้....
Ninomiya Kazunari

To be continued….

fiction, ohmiya, slide slide side

Previous post Next post
Up