LS Fanfiction : จันทรธุลี The Dust of Moon [บทที่ 21]
Author : Zerbirus
Links :
All chapters Title : จันทรธุลี
Chapter : บทที่ 21
Author : Zerbirus
Genre : AU
Fandom : LUNA SEA
Pairing : S x R
บทที่ 21 เริ่มต้นพิธีกรรม
ในห้องบรรทมของฟาโรห์สเมนกาเร มืดสลัว พระวิสูตรที่ริมพระบัญชรสะบัดไหวเบาๆ ยามสายลมโชยผ่านเข้ามาภายใน กลิ่นหอมจากตะเกียงน้ำมันหอม เหลือเพียงจางๆ
บานพระทวารแง้มออกช้าๆ เสียงพยัคฆ์สองตัวที่ก้าวตามกันเข้ามา คำรามเบาๆ พลางเดินตรงไปที่เก้าอี้ที่ตั้งชิดริมพระบัญชร ที่วรองค์โปร่งเพรียวทรงประทับนั่งอยู่ พลางเอาศีรษะอันใหญ่โตของพวกมัน สีเบาๆ เข้ากับหลังหัตถ์ที่วางทอดอยู่บนที่ท้าวพระกร แต่ พระองค์นั้นไม่ได้ใส่พระทัย ดวงพักตร์เรียบเฉย ราวกับแพรสีนวลที่ขึงไว้จนตึง พระวรกายซูบลง นิลเนตรดูราวกับจะดิ่งลึก เฉยชา ฉลองพระองค์สีขาวไม่มีเครื่องประดับตามพระอิสริยยศใดๆ นอกจากธำมรงค์รูปเทพบูโต สวมกระชับกับพระอนามิกา เพียงสิ่งเดียว
เสือดำและเสือดาวทั้งสอง เมื่อเห็นว่าผู้เป็นนายไม่สนใจพวกตนแล้ว ต่างพากันหมอบลงแทบเบื้องพระบาท เงยหน้ามองวรองค์โปร่งนั้นด้วยดวงตาสีเหลืองจัด
ดวงเนตรแห้งผาก นิลเนตรไม่ทอประกายพร่างพราวเช่นตาราเหมือนดังเคย หลังจากฟาโรห์เสด็จจากไป นอกจากเสด็จไปยังมหาวิหาร ที่พระศพถูกอัญเชิญไปตระเตรียมพิธี วรองค์โปร่งเพรียวทรงโปรดที่จะประทับนั่งเงียบๆ เพียงพระองค์เดียวในห้องที่ประทับ ทอดสายพระเนตรออกไปยังแผ่นฟ้าเบื้องบน ราวกับทรงปรารถนาจะได้เห็นพักตร์ของผู้เป็นที่รักแย้มสรวลลงมาจากฟากฟ้านั้น
เจ็ดสิบวัน ในการตระเตรียมเพื่อประกอบพระราชพิธีพระบรมศพ เจ็ดสิบวันก่อนจะอัญเชิญพระศพไปยังหุบผากษัตริย์ ตลอดช่วงเวลานั้น ยามทิวา รถทรงแห่งเจ้าชายเรเมซีสจะโลดแล่นไปยังมหาวิหาร เพียงเพื่อเสด็จไปประทับในห้องศิลา ทอดพระเนตรผ่านช่องเล็กแคบยาว ไปสู่พิธีกรรมในการตระเตรียมพระบรมศพ
เบื้องล่าง ในห้องศิลาท่ามกลางแสงสว่างจากคบเพลิงที่จุดไว้ริมผนังและกลิ่นหอมฉุนแสบจมูกของน้ำยาที่ใช้ในพิธีกรรม ฮาบูโมเนปและนักบวชแห่งมหาวิหาร ทำการชำระพระสรีระแห่งองค์ฟาโรห์ วรองค์สูงประทับบรรทมเหยียดยาวอยู่บนพระแท่น ดวงเนตรปิดสนิท ริมโอษฐ์ดูราวแย้มเยือนน้อยๆ เหมือนบรรทมหลับ
กรรมวิธีดำเนินไป โถคาโนปิคทั้ง 4 ใบ ได้ทำหน้าที่ของมัน เหลือเพียงหัวใจที่ต้องไว้ชั่งในการเปิดคัมภีร์มรณะ พระวรกายที่ปราศจากดวงพระวิญญาณ ถูกกลบไว้ใต้กองเกลือเนตรอน เพื่อดูดซับความชื้นอันเป็นกรรมวิธีก่อนการพันผ้า พักตร์นั้น ถูกเกล็ดสีขาวนวลบดบังไว้จนหมดสิ้น แต่ ทุกรายละเอียดแห่งวงพักตร์ ยังประทับแน่นอยู่ในดวงพระหฤทัยแห่งเจ้าชายเรเมซีส
วรองค์โปร่งบางยังคงเสด็จมาประทับ เฝ้าทอดพระเนตรมองผ่านช่องศิลาแคบยาว ทุกทิวา
ยามราตรี หลังจากเทพตุมเคลื่อนรถทรงของพระองค์พ้นขอบฟ้า รถทรงแห่งเจ้าชายเรเมซีสจึงกลับมายังพระราชวัง และมีเพียงที่เดียวที่ทรงประทับอยู่ ห้องบรรทมของฟาโรห์สเมนกาเร
โดยทรงโปรดที่จะประทับอยู่ข้างพระบัญชร ทอดพระเนตรออกไปด้านนอก โดยที่แทบจะไม่ขยับพระองค์ไปไหน บรรทมบ้างหรือไม่ ไม่มีใครรู้ พระกระยาหารที่ถูกนำเข้ามา วางดาย มีเพียงพระสุธารสเท่านั้น ที่พร่องไปบ้าง ราวกับแค่ทรงปรารถนาจะหล่อเลี้ยงพระชนม์ไว้ จนพิธีกรรมเสร็จสิ้น เพียงเท่านั้น
บานพระทวารแง้มอีกครั้ง พยัคฆ์ทั้งสองหันไปมอง วรองค์โปร่งเพรียวของยุวกษัตริย์ประทับยืน อยู่เงียบๆ ทอดพระเนตรมองผู้ที่ประทับนั่งริมพระบัญชร แสงชวาลาที่ตามไว้เบื้องนอกสาดเข้ามาทำให้ภาพในห้องบรรทมสว่างขึ้น แต่เพียงเล็กน้อย อาการขยับตัวของพยัคฆ์ทั้งสองและเสียงคำรามเบาๆ ที่ดังขึ้น ทำให้ร่างที่ประทับนั่งอยู่นั้น เบือนพระพักตร์มาช้าๆ
"หม่อมฉันมากวนพระทัยหรือไม่พระเจ้าค่ะ เจ้าพี่" สุรเสียงอ่อนของว่าที่ฟาโรห์ตรัสขึ้น พักตร์ของอีกฝ่ายส่ายน้อยๆ
"ไม่พระเจ้าค่ะ"
วรองค์โปร่งเพรียวของว่าที่ฟาโรห์เสด็จพระราชดำเนินเข้ามาในห้องบรรทม ทอดพระเนตรไปที่ถาดพระกระยาหารที่ถูกวางไว้ โดยไม่มีรอยพร่องไปเลยแม้แต่น้อย
"เจ้าพี่เรเมซีส ไม่ทรงเสวยอะไรบ้างเลยหรือพระเจ้าค่ะ"
"หม่อมฉันไม่หิว"
"แต่ถ้าแบบนี้ เจ้าพี่จะทรงพระประชวรไปนะพระเจ้าค่ะ ทรงเสวยอะไรบ้างเถิด"
นิลเนตรนั้นเบือนกลับไปยังพระบัญชร สายลมยามดึกพัดโชยจนเกศาสีดำสนิทไหวระริกตามลม ไม่มีพระสุรเสียงใดตรัสตอบมาอีก ดวงเนตรสีน้ำตาลใสฉายแววกังวลพระทัยหนัก ทุกข์จากการสูญเสีย ยังไม่จางไปจากพระทัย หากแต่ผู้ที่อยู่เบื้องพระพักตร์นั้น ทุกข์ จากการจากพรากผู้เป็นที่รัก จักใหญ่หลวงสักปานใด ใครเล่าจะทำให้ เจ้าชายเรเมซีส คลายพระทัยจากอาการเศร้าโศกนี้ได้ เพราะผู้ที่เป็นดังดวงหฤทัย มิได้ประทับอยู่ในโลกนี้แล้ว
วงพักตร์ที่แสงสลัวจากคบไฟที่ตามไว้ในห้องบรรทมสาดจับนั้น ซีดราวสลักจากหินอ่อน นิลเนตรคู่นั้นเหม่อลอย ปลายนิ้วพระหัตถ์ ทรงลูบคลำพระธำมรงค์ที่พระอนามิกาซ้าย จริงสิ นับแต่ วันนั้น ... มิมีผู้ใดเห็นน้ำพระเนตรเลยแม้แต่น้อย ดวงเนตรสีนิลนั้น แดงช้ำ แห้งผาก
เคยมีผู้กล่าวไว้ว่า เมื่อผู้ใดประสบความทุกข์โทมนัสหาใดเปรียบ น้ำตาจะเป็นทางเดียวที่ช่วยบรรเทาระบายทุกข์นั้น แต่หาก น้ำตานั้นมิได้ไหลออกมา แต่ไหลย้อนลงไปท่วมขังอยู่ภายในใจผู้นั้นเล่า ...
ว่าที่ฟาโรห์ เสด็จกลับออกมาจากห้องพระบรรทมนั้น เพราะแม้หากปรารถนาจะปลอบโยนอีกพระองค์เท่าใด แต่การใดๆ ในยามนี้มิเกิดผลขึ้นทั้งสิ้น เวลา อาจจะชลอและเลือนจางความสูญเสียนี้ได้เอง นั่นคือความหวังในพระทัยของเจ้าชายไอเนส
ทั่วนครธีบิส จมอยู่กับความเศร้า ธงทิวสีขาว ถูกประดับประดาไปทั่วนาคร เพื่อถวายความจงรักภักดีแต่องค์ฟาโรห์สเมนกาเร เป็นครั้งสุดท้าย
ที่ท่าเรือ ขบวนเรือพระที่นั่งจัดเตรียมริ้วกระบวนเพื่อใช้ในพระราชพิธีพระบรมศพที่ใกล้เข้ามา ดวงหน้าของทุกผู้สลดเศร้า เบื้องหน้ากองทหารที่ซักซ้อมริ้วกระบวนอิสริยยศ ร่างสูงของผู้บัญชาการทหารยืนอยู่ ดวงตายาวรีแลกวาดไปทั่วราวกับต้องการให้ทุกอย่าง สมบูรณ์อย่างที่สุด
เสียงฝีพระบาทที่เสด็จดำเนินใกล้เข้ามา ทำให้ต้องเบือนหน้ากลับไป ก่อนที่ร่างสูงนั้นจะทรุดกายลงคุกเข่า เมื่อผู้ที่เสด็จเข้ามาคือ ว่าที่ฟาโรห์พระองค์ใหม่
"อีกทิวารุ่งใช่ไหม ที่ท่านอาจารย์บอกไว้" สุรเสียงนั้นเอ่ยขึ้น
"พระเจ้าค่ะ"
"เจ็ดสิบวัน เร็วเหลือเกินนะ จาร์ซัส"
"พระเจ้าค่ะ"
ว่าที่ฟาโรห์แหงนพระพักตร์ทอดพระเนตรขึ้นไปบนท้องฟ้าสีคราม สายลมจากแม่น้ำพัดพริ้วจนทิวปาปิรัสที่ริมตลิ่ง ไหวเอนไปมา
"ยามนี้ เจ้าพี่จะทรงประทับอยู่ที่ใดนะ ท่านรู้บ้างไหม"
"ข้าบาทคิดว่า ในเวลานี้ องค์ฟาโรห์ทรงทอดพระเนตรพวกเราอยู่จากที่ใดที่หนึ่ง"
"นั่นสินะ เอาละ เราไม่กวนท่านแล้ว เราจะไปที่วิหาร ฝากทางนี้ด้วยนะ"
"ให้ข้าบาทนำกำลังอารักขาพระองค์เถิดพระเจ้าค่ะ"
"ไม่ต้องหรอก เรามีองครักษ์ไปด้วย ท่านอยู่ดูงานทางนี้เถิด ริ้วกระบวนที่ควบคุมโดยท่าน เจ้าพี่คงถูกพระทัย"
"พระเจ้าค่ะ"
แม้จะรับพระดำรัสเช่นนั้น แต่ดวงตายาวรีแห่งผู้บัญชาการทหาร ฉายรอยกังวลจนเต็มเปี่ยม หากเกิดสิ่งมใดขึ้นอีกเล่า.... เนตรนั้นทอดมองนิ่ง ก่อนที่ริมโอษฐ์จะแย้มสรวล อ่อนโยน
"ไม่มีอันตรายอันใดหรอก ไม่นาน จะกลับมา"
"พระเจ้าค่ะ"
รถทรงแห่งว่าที่ฟาโรห์ แวดล้อมด้วยทหารองครักษ์บนหลังม้า บ่ายหน้าสู่ทิศแห่งมหาวิหาร ณ ที่นั่น กรรมวิธีการรักษาพระศพ กำลังดำเนินมาถึงขั้นสุดท้าย
ในห้องเหนือห้องที่ดำเนินการรักษาพระศพ วรองค์โปร่งที่ยามนี้ยิ่งซูบพระองค์ไปกว่าที่เคย ประทับยืนนิ่ง เฝ้าทอดพระเนตรพิธีกรรมอยู่ และเพียงเบือนพระพักตร์มาน้อยๆ ยามเมื่อได้ยินเสียงทวารหินเลื่อน ต่อเมื่อ ว่าที่ฟาโรห์ เสด็จผ่านเข้ามา จึงค้อมพระเศียรลง
ว่าที่ฟาโรห์ไอเนส โน้มพระวรกายถวายบังคมอีกพระองค์ เพราะในพระทัยย่อมทรงทราบดีว่า ผู้ที่ประทับอยู่เบื้องพักตร์นั้น เปรียบเสมือนดวงพระหฤทัยของผู้เป็นเชษฐา ธำมรงค์ที่พระอนามิกาบอกชัดว่าทรงสนิทสเน่หาซึ่งกันและกันเพียงใด แต่บัดนี้ ความสุขในพระทัยกลับเลื่อนลอยหาย
เบื้องล่าง ในห้องศิลา ร่างในชุดขาวคลุมตลอดของฮาบูโมเนป โอษฐ์แห่งเทพอนูบิส และนักบวชแห่งมหาวิหารยกถาดที่ประจุม้วนผ้าลินินที่เอิบอาบด้วยน้ำยาในพิธีกรรม อบร่ำด้วยยางไม้และน้ำมันหอม มาเตรียมไว้ข้างแท่นพิธี เพิ่มเริ่มพิธีพันพระศพ ริ้วผ้าลินินผืนแคบยาวเริ่มพันทบขึ้นมาจากด้านปลายพระบาท ของผู้ที่ทรงบรรทมมิรู้ตื่นนั้น
หัตถ์นวลซีดที่วางทาบขอบช่องศิลา กดแน่นจนข้อนิ้วพระหัตถ์ขาว ดวงเนตรสีนิลเบิกกว้างขึ้นน้อยๆ ทอดพระเนตรมองลงไปยังเบื้องล่าง พักตร์งามนั้นเผือดจนแทบจะไร้สีโลหิต ริมโอษฐ์แห้งผาก เมื่อผ้าที่พันทบขึ้นมานั้น สูงขึ้นจนถึงพระพักตร์แห่งฟาโรห์สเมนกาเร
ว่าที่ฟาโรห์พระองค์ใหม่ ทรงกัดริมโอษฐ์ด้านใน เมื่อแถบผ้าลินินตวัดพันสูงขึ้นทุกขณะ หากแล้วผู้ที่ประทับนิ่งข้างพระองค์อยู่แต่แรก ระบายลมหายพระทัยยาว เมื่อพักตร์แห่งฟาโรห์สเมนกาเรนั้นหายลับไปจากพระเนตร เบื้องล่างเหลือเพียง พระสรีระ ร่าง พันผ้าลินิน หัตถ์ทั้งสองถูกดัดให้ขึ้นมาไขว้ประทับกันที่พระอุระ เพื่อพร้อมสำหรับพิธีเปิดคัมภีร์มรณะ ที่จะเริ่มต้น
หัวหน้านักบวชชินโฮเทป ก้าวเข้ามาค้อมกายลงถวายความเคารพแก่ว่าที่ฟาโรห์ และเจ้าชายเรเมซีส
"ท่านอาจารย์" สุรเสียงแห่งว่าที่ฟาโรห์ตรัสเพียงเท่านั้น เสียงเบา สงบของหัวหน้านักบวช ทูลตอบ ชัดเจน
"พรุ่ง... พิธีจะเริ่มยามเมื่อเทพตุมเสด็จลาลับขอบฟ้า เมื่อดาวแห่งธีบิสอยู่ในจุดสูงสุด"
นิลเนตรนั้นมิได้ชำเลืองมาเลยแม้แต่น้อย ยังคงทอดพระเนตรผ่านช่องศิลาแคบยาวจนกระทั่ง แสงประทีปชวาลาในห้องนั้น หรี่ลงเหลือเพียงสลัวๆ เพราะอยู่ใต้มหาวิหาร ใกล้กับแม่น้ำที่ไหลผ่าน ที่นั่นจึงมืด เย็น ร่าง ที่เหยียดยาวอยู่บนแท่นเหลือเพียงเงาตะคุ่ม
วรองค์โปร่งแห่งเจ้าชายเรเมซีสหันพระขนองให้ช่องศิลาแคบยาวนั้น ค้อมพระเศียรถวายบังคมแก่ว่าที่ฟาโรห์ และทำความเครพหัวหน้านักบวช ก่อนจะเสด็จกลับทางบานทวารศิลา อากัปกิริยาก้าวพระบาท มิมีสะดุดเลยแม้แต่น้อย ดวงพักตร์ขาวเผือด เนตรนิลยิ่งแลเข้ม ลึก ภูษาสีเศวตที่ทรงอยู่ต้องแรงลมจากเบื้องนอกพริ้วสะบัด ยามเมื่อเสด็จขึ้นประทับรถทรง ต่อเมื่อว่าที่ฟาโรห์พระองค์ใหม่เสด็จออกจากมหาวิหาร รถทรงแห่งเจ้าชายเรเมซีสก็โลดละลิ่วนำไปเบื้องหน้าแล้ว เพียงพระองค์เดียว
ยามสายันณ์กาลแห่งวันพรุ่ง พิธีเปิดปากพระศพ พิธีกรรมสุดท้ายเพื่อตอบปัญหาต่อคณาเทพ พิธีที่จะเป็นการคัดเลือกว่าพระสรีระจะได้ไปประทับในหุบผากษัตริย์ รอเวลาที่จักฟื้นบรรทมอีกครั้ง ฤาไม่ จะบังเกิดขึ้น
***************** จบบทที่ 21 *****************
* ห้ามนำไปโพส หรือส่งต่อโดยไม่ได้รับอนุญาตจากผู้แต่ง *