LS Fanfiction : จันทรธุลี The Dust of Moon [บทที่ 14]

Jan 20, 2005 07:07

LS Fanfiction : จันทรธุลี The Dust of Moon [บทที่ 14]
Author : Zerbirus
Links : All chapters



Title : จันทรธุลี

Chapter : บทที่ 14
Author : Zerbirus

Genre : AU
Fandom : LUNA SEA
Pairing : S x R

บทที่ 14 สัญญาใต้เงาจันทร์

สายลมบางเบาโบกโบยเข้ามาทางช่องพระแกล เหมือนจะโลมไล้ผะแผ่วลงบนปรางสีระเรื่อแต่ยังอ่อนโยนน้อยกว่าริมโอษฐ์ที่จรดแผ่วเบาลงบนผิวปรางนั้น หัตถ์ใหญ่ลูบไล้เส้นเกศาสีดำสนิทราวขนนกกาน้ำนั้นเล่นเบายิ่ง ราวกับเกรงว่า จะทำให้เจ้าของเกศางามนั้น บุบสลาย ปลายนาสิกไซร้ซุกกับซอกพระศอเนียน และแตะริมโอษฐ์ย้ำที่รอยแดงเรื่อที่ลำพระศอนั้น ปลายดรรชนี ลูบเบาๆ อยู่ที่หลังหัตถ์นวลที่วางทอดอยู่ข้างวรองค์โปร่ง ธำมรงค์บนพระอนามิกาของหัตถ์นั้นทอประกายเมื่อกระทบแสงจันทร์

"สเมนกาเร ...." สุรเสียงแผ่วโรย ดังจากริมโอษฐ์สีสด
"หืมม์? ข้าคิดว่าเจ้าหลับแล้วเสียอีก หรือข้าทำให้เจ้าตื่น" สุรเสียงทุ้มนั้น ตรัสถามอย่างห่วงใย

ดวงเนตรสีนิลนั้น ค่อยๆ ลืมขึ้น เมื่อทอดพระเนตรผู้ที่ประทับอยู่เคียงข้าง ก็แย้มสรวลอ่อนโยน

"เปล่าหรอก ข้ายังไม่ได้หลับ"

หัตถ์ที่ลูบไล้ที่เส้นเกศาสีดำมันระยับนั้น เปลี่ยนมาโอบประคองอังสาให้เอนซบเข้ามายังอุระกว้าง พลางประทับรอยจุมพิตอ่อนหวานบนนลาฏนวลนั้น เสียงถอนพระปัสสาสะแผ่วดังมาจากวรองค์โปร่งในอ้อมพระกร

"เจ็บหรือ.."

เศียรที่ซบซุกกับอุระกว้าง ส่ายน้อยๆ หัตถ์นวลเคลื่อนไหวเบา อยู่ที่อังสากว้าง แสงจันทร์จากภายนอกทอเรี่ยยอดไม้ จันทราเทพีใกล้จะคล้อยเคลื่อนจากนภาแล้ว เนตรงามแหงนเงยทอดพระเนตรแสงสีเงินนั้น วรองค์สูงจึงตรัสถาม

"ไปที่ระเบียงไหม"

เพียงพยักพระพักตร์ ท่อนพระกรอีกพระองค์ก็รวบวรองค์ขึ้นจากแท่นบรรทม พลางสะบัดภูษาคลุมสีแดงก่ำคลุมวรกายเปล่าเปลือยในอ้อมพระกรไว้ หัตถ์นวลจึ่งยกขึ้นโอบรอบพระศอของผู้เป็นที่รัก ที่พาเสด็จช้าๆ ไปยังพระเก้าอี้ยาว ที่ตั้งอยู่เหนือระเบียงห้องบรรทม

เบื้องนอก จันทราทอแสงนวลใยเหนือทิวไม้ เสียงนกละเมอร้องเบาๆ ดังมาจากราชอุทยาน เงาสองพระองค์ที่แนบชิดกันอยู่นั้น ฝ่ายหนึ่งแหงนเงยทอดพระเนตรไปขึ้นบนท้องฟ้า อีกฝ่ายนั้นเล่า ดวงเนตรจ้องจับอยู่แต่พักตร์งามนั้นมิคลาดคลาเลย

ณ. แผ่นฟ้า ดวงเนตรอ่อนโยนจากจันทราเทพี ทอดพระเนตรมองลงมา พลางทอแสงนวลกระจ่างราวกับจะโอบประคองทั้งสองพระองค์นั้น

เวลาเอ๋ย จงหยุด ณ คืนนี้เถิด เพื่อให้ความรักอันหอมหวานนั้นได้ดื่มด่ำสู่หฤทัย เนิ่นนาน ....

วรองค์โปร่งในอ้อมพระพาหานั้น บรรทมสนิทไปแล้ว จันทราเทพีลอยเลื่อนลับขอบฟ้า อีกมินาน เรือทองแห่งสุริยเทพจะจรดลพ้นผ่านขอบฟ้ามาฉายฉาน ดวงเนตรสีน้ำตาลทองที่ทอดพระเนตรพักตร์งามนั้น ยังมิแปรไปทางใด ความหอมหวานในฤทัยยังอบอวลมิรู้จาง โอษฐ์ไล้แผ่วลงบนริมโอษฐ์สีระเรื่อ ก่อนจะช้อนพระวรกายที่บรรทมนิทรานั้น กลับคืนสู่ภายในห้องที่ประทับ ...

คีเปรา ละเลื่อมลายพรายแสงแล้ว หัตถ์แห่งสุริยเทพทอลอดเข้ามาสาดจับ แท่นบรรทมกว้าง ที่มีวรองค์โปร่งซบซุกอยู่ภายใต้ภูษาคลุมสีแดงก่ำ แต่เมื่อ ทรงเริ่มรู้สึกพระองค์ ไออุ่นที่เคยโอบล้อมพระวรกายตลอดราตรีนั้น ไม่มีแล้ว ดวงเนตรสีนิลลืมพระเนตรขึ้นทันควัน ข้างวรกายว่างเปล่า เจ้าชายแห่งอียิปต์บนทรงพยายามเหลียวพระพักตร์หา แต่รอบด้านก็ว่างเปล่าเช่นกัน ยกเว้นแต่ .....

กระดาษปาปิรัสแผ่นน้อยที่วางอยู่เหนือโต๊ะทรงพระอักษร เจ้าชายเรเมซีสทรงยันพระองค์ประทับยืนขึ้น ก่อนจะเสด็จไปทรงหยิบมาทอดพระเนตร ลายพระหัตถเลขา จารด้วยหมึกสีน้ำเงินตวัดไว้ กระจ่าง

เสร็จศึก ข้าจะกลับมารับเจ้า ที่รักของข้า ข้าสัญญา รอข้านะ
สเมนกาเร ของเจ้า

หัตถ์นวลนั้น รวบกระดาษแผ่นนั้นไว้แน่น ก่อนจะทรงคว้าฉลองพระองค์ที่วางพาดไว้ปลายแท่นบรรทมมาทรงโดยเร็ว ความอ่อนเพลียที่มี ถูกความร้อนรนในพระทัยกลบจนหายสิ้น เจ้าชายเรเมซีสทรงเสด็จออกจากห้องบรรทมขององค์ฟาโรห์อย่างเร็วที่สุด เท่าที่พระวรกายจะทรงสามารถทำได้ หากแต่เมื่อ เสด็จมาถึงริมน้ำ สิ่งที่ทอดพระเนตรเห็นนั้นก็คือ เงาลิบๆ ของเรือทรงแห่งองค์ฟาโรห์ ที่เดินทางสู่อียิปต์ล่างแล้ว เท่านั้น...

กระดาษในอุ้งหัตถ์ ถูกยกขึ้นมาไว้แนบหทัย ดวงเนตรสีนิลนั้น ทอดมองตรงไปเบื้องหน้าราวกับจะแลให้พบกับดวงเนตรของอีกพระองค์หนึ่ง

"ข้าจะรอ..." สุรเสียงนั้น ราวกับจะฝากไปกับสายลม เพื่อทูลแก่อีกพระองค์หนึ่งนั้น

ณ ชาลาชั้นบนของเรือพระที่นั่ง วรองค์สูงประทับยืนอยู่ริมระเบียง ทอดพระเนตรมองกลับมา ราวกับจะให้พบกับดวงเนตรสีนิลงามนั้นเช่นกัน...

ไม่กี่ราตรี เรือพระที่นั่งขององค์ฟาโรห์ก็เข้าเทียบท่า ณ ท่าน้ำที่พระราชวัง ทันทีที่ทรงเสด็จลงจากเรือพระที่นั่งนั้น ร่างสูงของผู้บัญชาการทหารก็มายืนรอรับเสด็จอยู่แล้ว ชายหนุ่มคุกเข่าลงถวายความเคารพ องค์ฟาโรห์ทรงโบกพระหัตถ์ให้ และเสด็จต่อไปยังห้องทรงงาน โดยมีร่างสูงตามเสด็จ

"จาร์ซัส ทุกอย่างเรียบร้อยดีใช่ไหม"
"พระเจ้าค่ะ การก่อสร้างกำแพงเมืองเพิ่มเติม เสร็จสิ้นเรียบร้อย การฝึกทหารก้าวหน้าขึ้นไปมาก และที่สำคัญที่สุด"

ร่างสูง คลี่แผ่นหนังที่แสดงแนวเขตอาณาจักรออกถวายให้ทอดพระเนตร หมุดสีแดงตรึงไว้ที่แนวเส้นทางคาราวานทะเลทรายสายเก่าสายหนึ่ง

"กองทัพของอัสซีเรียเคลื่อนทัพมาถึงบริเวณนี้แล้วพระเจ้าค่ะ กองคาราวาณพ่อค้าเร่ เริ่มถูกล่าสังหาร ตอนนี้อบยพเข้ามาตั้งกระโจมริมกำแพงเมืองด้านนอกเป็นอันมาก"
"ระวังการเข้าออกไว้ให้มาก เพื่อมีสายของอัสซีเรียปะปนเข้ามา อ้อ เดี๋ยวให้ใครไปเชิญ ท่านอาจารย์ มาด้วยนะ จะได้ปรึกษากันเรื่องบวงสรวงเทพี เซ็คเม็ต" ตรัสแล้วทรงเอนพระองค์ลงพิงพนักพระเก้าอี้ หลับพระเนตร
"พระเจ้าค่ะ .... ว่าแต่..." ร่างสูงทำท่าจะทูลแต่ก็เงียบไป เนตรสีน้ำตาลทองจึงลืมขึ้น
"มีอะไร"
"เพิ่งเสด็จกลับมาเหนื่อยๆ และยังทรงเพิ่งฟื้นจากอาการบาดเจ็บ จะไม่ทรงพักก่อนหรือพระเจ้าค่ะ" เสียงทุ้มต่ำของผู้เป็นทั้งข้า ทั้งสหายกราบทูล
"ข่าวเจ้า เร็วเหมือนเคยนะ อืม แต่ก็ขอพักสักยามเดียว แล้วอีกชั่วโมงจะไปที่มหาวิหารเอง ไม่ต้องไปเชิญมาแล้ว ไปเองเร็วกว่า"
"พระเจ้าค่ะ" ทูลแล้วร่างสูงทำท่าจะเลี่ยงถอยออกไป แต่ทรงตรัสขึ้นมาเสียก่อน
"จาร์ซัส.."
"พระเจ้าค่ะ"
"ไม่ถามหรือ ว่าทำไม ...ไม่เสด็จกลับมาด้วย"
"หม่อมฉันไม่ทูลถาม เพราะคงมีเหตุที่ทรงดำริแล้ว หากแต่จะทรงโปรดให้ใครถาม เจ้าชายยุวราช จะทรงถามแน่นอนพระเจ้าค่ะ"
"นั่นสินะ อืม ไปเถอะ อีกชั่วโมงเราจะออกไป" จบรับสั่งแล้ว ก็ทรงหลับพระเนตรนิ่ง ร่างสูงจึงถวายความเคารพก่อนจะถอยออกไปจากห้องทรงงานแล้วปิดบานพระทวารถวายเบายิ่ง
"อย่าให้ใครรบกวนฝ่าพระบาท จนกว่าจะเสด็จออกมา" คำสั่งนั้น มีแก่ทหารเวรที่ยืนอารักขาสองฝั่งบานพระทวารนั้น

แต่แล้วเสียงฝีพระบาทที่ดังเร็วๆ มาทำให้ร่างสูงต้องหันไปมอง วรองค์เล็กของเจ้าชายพระอนุชาเสด็จเดินแกมวิ่งมา ทำให้ผู้บัญชาการทหารและทหารเวรต้องคุกเข่าลงถวายความเคารพ

"จาร์ซัส เจ้าพี่กลับมาแล้วหรือ แล้วเจ้าพี่เรเมซีสล่ะทำไมเราไม่เห็นเลย"
"เสด็จทางนี้ก่อนพระเจ้าค่ะ ข้าบาทจะทูลให้ฟัง" ร่างสูงลุกขึ้นพลางทูลตอบ วรองค์เพรียวนั้นจึงยอมเสด็จไป
"มีเรื่องอะไรกันหรือเปล่าน่ะจาร์ซัส ที่ว่าได้ข่าวว่าทรงบาดเจ็บพระอาการเป็นอย่างไรบ้าง แล้วนี่เจ้าพี่ทรงทำอะไรอยู่ล่ะ เราเข้าไปเฝ้าไม่ได้หรือ" สุรเสียงใสนั้น ตรัสถามรัวเร็ว
"ทรงบรรทมพระเจ้าค่ะ ตรัสว่าอีกชั่วยามจะเสด็จออก ไปมหาวิหารพระเจ้าค่ะ" เสียงทุ้มนั้นทูลตอบ
"แล้วเจ้าพี่เรเมซีสล่ะ"
"องค์ฟาโรห์จะทรงตอบคำถามนี้ของพระองค์เองพระเจ้าค่ะ"
"หมายความว่า เจ้าพี่คงไม่ยอมให้เจ้าพี่เรเมซีสเสด็จกลับมาจริงๆ" เจ้าชายพระองค์น้อยทรงทำท่าครุ่นคิด
"พระเจ้าค่ะ"
"แต่ทำไมล่ะ จาร์ซัส เจ้าพี่ไม่ทรงอยากให้เจ้าพี่เรเมซีสประทับอยู่ด้วยกันหรือ"

ร่างสูง มองดวงเนตรสีน้ำตาลใสที่แหงนเงยขึ้นมาอย่างอยากรู้นั้น ด้วยดวงตาอ่อนโยน

"เพราะ... คนเราก็ย่อมมีสิ่งๆหนึ่ง ที่เป็นสิ่งสำคัญ และอยากรักษาและเก็บไว้ให้ไกลห่างจากอันตรายทั้งปวง องค์ฟาโรห์คงอยากทรงให้ สิ่งที่เป็นดั่งดวงหฤทัย อยู่ในที่ที่ปลอดภัยที่สุดพระเจ้าค่ะ"
"แล้วเจ้าล่ะ จาร์ซัส เคยมี สิ่งที่หวงแหนดุจหัวใจบ้างไหม" เมื่อฟังคำตรัสถาม ดวงตายาวรีนั้น สบเนตรสีน้ำตาลใส อย่างแน่วแน่
"มีสิ พระเจ้าค่ะ สิ่งนั้น เป็นสิ่งสูงค่า ที่หม่อมฉันต้องรักษาไว้ด้วยชีวิตและหัวใจของหม่อมฉันเองเช่นกัน"

คำพูดนั้น ทำให้พักตร์ใสนั้น แย้มสรวลอ่อนโยนยิ่ง

"แต่เจ้ารู้ไหม บางที สิ่งๆนั้น อาจจะอยากอยู่ใกล้ๆ ผู้ที่เป็นเจ้าของเหมือนกัน ไม่ว่าหนทางจะยากลำบาก หรืออันตรายแค่ไหน หัวใจ ย่อมอยากอยู่กับเจ้าของหัวใจ มิใช่หรือ" สุรเสียงใสนั้น ตรัส ก่อนจะทรงเสด็จจากไป ทิ้งให้ร่างสูงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ....

เสียงระบายพระปัสสาสะดังแผ่วมาจากวรองค์โปร่งที่ยืนทอดพระเนตรเหม่อออกไปยังสายน้ำ ป่านนี้ อีกพระองค์หนึ่งนั้นจะทรงทำอะไรอยู่นะ การศึกก็ใกล้เข้ามาเหลือเกินแล้ว จะทรงหายดีจากบาดแผลคราวนั้นหรือยัง ในหทัยทรงดำริไปร้อยแปด แต่แล้ว ทาสที่เร่งรีบมาหมอบอยู่ข้างๆ ทำให้ต้องเบือนพระพักตร์ไปตรัสถาม

"มีอะไรหรือ"
"องค์ฟาโรห์ทรงประชวรพระเจ้าค่ะ"
"เสด็จพ่อ .. ไป เจ้าไปตามหมอหลวงด่วน!!!" ทาสลนลานวิ่งไปตามรับสั่งทันที

เจ้าชายเรเมซีสทรงระงับความคิดคำนึงส่วนพระองค์ลงทันควัน เมื่อพระบิดาทรงประชวร วรองค์โปร่งรีบเสด็จนำหน้าทาสไปยังห้องที่ประทับของผู้เป็นพระบิดาทันที หน้าที่แห่งลูกและข้าต่อเจ้าเหนือชีวิต ย่อมมาก่อนหัวใจตนเองเสมอ

กลางทะเลทราย ... ปรากฏกระโจมใหญ่น้อยตั้งกระจายอยู่รายรอบโอเอซีสในเส้นทางคาราวานสายเก่า ถ้านับการเดินทางแล้ว อีกเพียงไม่เกิน 7 ราตรี กองทัพอัสซีเรียจะประชิดชายแดนอาณาจักร อียิปต์ล่าง การศึกและสงคราม กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่นานแล้ว

***************** จบบทที่ 14 *****************

* ห้ามนำไปโพส หรือส่งต่อโดยไม่ได้รับอนุญาตจากผู้แต่ง *
Previous post Next post
Up