Midnight Sun; chapter 6: Blood Type 1

Dec 02, 2009 00:05



Midnight Sun; chapter 6: Blood Type

ผมตามเธอทั้งวันผ่านทางสายตาของคนอื่นๆ แทบไม่สนใจสิ่งรอบข้างไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ผมไม่ตามเธอผ่านไมค์นะเพราะผมทนจินตนาการที่ทำให้ผมเคืองใจไม่ได้ และก็ไม่ผ่านทางเจสสิก้า สแตนลี่ย์ด้วย เพราะอาการไม่พอเบลล่าของเธอทำให้ผมโกรธ ในระดับที่อาจจะทำให้เธอผู้ต่ำช้าคนนี้ไม่ปลอดภัยได้ แองเจลิน่า เวบเบอร์คือตัวเลือกที่ดีเวลาตาเธออยู่ในระยะ เธอจิตใจดี ผมอยู่ในความคิดเธอแล้วรู้สึกสบายๆ บางทีผมก็มองเบลล่าผ่านทางพวกอาจารย์นะ ซึ่งดูจะให้วิวที่ดีที่สุด

ผมแปลกใจที่เห็นเบลล่าเดินสะดุดนู่นสะดุดนี่ทั้งวัน รอยแตกตามทางเดิน หนังสือบนพื้น แล้วที่บ่อยที่สุด ก็คือสะดุดเท้าตัวเองนั่นแหละ บรรดาคนที่ผมฟังอยู่ต่างพากันคิดว่าเบลล่าซุ่มซ่าม
ผมลองนึกๆดู ก็จริงนะ เธอดูจะมีปัญหากับการยืนตรงๆ ผมจำได้ว่าเธอสะดุดโต๊ะในวันแรก ลื่นพื้นน้ำแข็งก่อนเกิดอุบัติเหตุ เมื่อวานก็สะดุดกรอบประตู... แปลกนะครับ พวกเขาพูดถูก เธอน่ะซุ่มซ่ามจริงๆ

ผมไม่รู้ว่าทำไมผมถึงได้ขำนัก ผมหัวเราะเสียงดังตอนเดินจากห้องเรียนประวัติศาสตร์อเมริกันไปห้องเรียนภาษาอังกฤษ หลายคนหันมามองผมหวั่นๆ ทำไมผมถึงไม่ได้สังเกตตั้งแต่ก่อนหน้านี้นะ? บางทีอาจจะเพราะเวลาเธออยู่นิ่งๆ มันดูสง่าๆ จากวิธีที่เธอตั้งหัว หรือส่วนโค้งบนคอของเธอ...
ตอนนี้เธอไม่สง่าเอาซะเลย มิสเตอร์แวร์เนอร์มองเธอพอดี ขณะที่ปลายรองเท้าบู๊ตของเบลล่าสะดุดพรม ก่อนเธอจะล้มไม่เป็นท่าลงบนเก้าอี้
ผมหัวเราะอีกแล้ว

เวลาผ่านไปแบบช้าเหลือเชื่อ เวลาผมรอโอกาสจะได้เจอหน้าเธออีกครั้งด้วยตาของผมเอง สุดท้าย พอระฆังดัง ผมก็ดิ่งไปที่โรงอาหารเพื่อจองที่นั่ง ผมเป็นคนแรกๆที่ไปถึง ผมเลือกโต๊ะที่ส่วนใหญ่แล้วจะว่างอยู่ตลอด และผมก็มั่นใจว่าวันนี้มันก็จะว่างอีก หลังจากผมเลือกนั่งที่นี่

พอครอบครัวผมมาถึง แล้วก็เห็นว่าผมนั่งอยู่คนเดียว พวกเขาก็ไม่แปลกใจอะไร อลิสคงจะบอกพวกเขาแล้วล่ะ
โรซาลี่เดินผ่านผมโดยไม่หันมามอง
‘ปัญญาอ่อน’

ผมกับโรซาลี่ไม่เคยเข้ากันได้ ผมไปล้ำเส้นเธอเข้าตั้งแต่ครั้งแรกที่เธอได้ยินเสียงผม จากนั้นความสัมพันธ์เราก็ดิ่งเหว แต่ช่วงหลังนี้ เธอดูจะอารมณ์เสียกับผมบ่อยกว่าแต่ก่อน ผมถอนหายใจ โรซาลี่น่ะคิดถึงแต่ตัวเอง
แจสเปอร์ยิ้มให้ขณะเดินผ่าน
‘โชคดีนะ’ เขาคิดแบบไม่ค่อยแน่ใจนัก
เอ็มเม็ตต์กรอกตาแล้วก็ส่ายหน้า
‘ไอ้หนูเอ๊ย เสียสติไปแล้ว’
อลิสหน้าบาน ยิ้มซะฟันเป็นประกาย
‘ฉันคุยกับเบลล่าได้ยัง?’
“ห่างๆไปเลย” ผมพูดเบาๆ
หน้าเธอเปลี่ยนสี ก่อนกลับมาสดใสอีกรอบ
‘ก็ได้ ดื้อไปเถอะ ก็แค่รอให้ถึงเวลาเท่านั้นล่ะ’
ผมถอนหายใจ
‘อย่าลืมชั่วโมงชีวะวันนี้ล่ะ’ เธอเตือน
ผมพยักหน้า ไม่หรอก ผมไม่ลืม

ขณะรอเบลล่าเดินมาโรงอาหาร ผมมองเธอผ่านตาเด็กปีหนึ่งที่กำลังเดินมาโรงอาหารตามหลังเจสสิก้า เธอกำลังพล่ามเรื่องงานเต้นรำที่จะมาถึง โดยที่เบลล่าไม่ได้ตอบสนองอะไร แต่ก็ใช่ว่าเจสสิก้าจะให้โอกาสเธอได้พูดเท่าไหร่

จังหวะที่เบลล่าเข้ามาถึง เธอหันไปทางโต๊ะที่พี่น้องของผมนั่งอยู่ เธอจ้องครู่นึง ขมวดคิ้ว แล้วก็ก้มมองพื้น เธอไม่เห็นว่าผมนั่งตรงนี้
เธอดู...เศร้าจริงๆ ผมรับรู้ถึงแรงกระตุ้น ให้เดินไปอยู่ข้างๆเธอ ปลอบเธอซักอย่าง เสียแต่ว่า ผมไม่รู้ว่าจะปลอบเธอเรื่องอะไร ผมไม่รู้เลยว่าทำไมเธอถึงทำหน้าแบบนั้น เจสสิก้ายังพูดเรื่องงานเต้นรำอยู่ เบลล่าเศร้าเพราะว่าเธอไม่ได้ไปร่วมงานหรือเปล่า? ไม่น่าจะเป็นยังงั้นนะ....
แต่ถ้าเศร้าเพราะเหตุนี้จริงก็หายได้ไม่ยาก ถ้าอยากจริงๆ

เธอซื้อเครื่องดื่มเท่านั้นสำหรับมื้อเที่ยงนี้ นั่นถูกต้องแล้วเหรอ? ไม่ใชว่าเธอต้องการสารอาหารมากกว่านั้นเหรอ? ผมไม่เคยสนใจอาหารการกินของพวกมนุษย์มากนัก พวกมนุษย์ออกจะ บอบบางขนาดนั้น! มีอีกตั้งล้านอย่างให้กังวลถึง....

“เอ็ดเวิร์ด คัลเลนกำลังมองเธออยู่” ผมได้ยินเสียงเจสสิก้า “สงสัยจัง ว่าทำไมวันนี้ถึงนั่งคนเดียว?”

ผมนึกขอบคุณเจสสิก้า แต่ตอนนี้เธอก็เคืองเบลล่ามากขึ้น เพราะเบลล่าเงยหน้าขึ้นในบัดดล แล้วตาเธอก็มองหา จนกระทั่งมาสบกับตาของผม
ตอนนี้สีหน้าเธอไม่เหลือความเศร้าแล้ว ผมปล่อยให้ตัวเองมีความหวัง ว่าที่เธอเศร้า ก็เพราะคิดว่าผมออกจากโรงเรียนไปแล้ว ความหวังนั้นทำให้ผมยิ้มออก

ผมกวักมือเรียกเธอให้มาหา เธอทำท่าตกใจ ผมเลยอยากแหย่เธออีก
ผมเลยขยิบตาใส่ แล้วเธอก็อ้าปากค้าง
“เขาทำนั่นใส่เธอเหรอ?” เจสสิก้าถามอย่างหยาบเคย
“เขาอาจจะถามเรื่องการบ้านชีวะ” เธอพูดเบาๆ ด้วยความรู้สึกไม่มั่นใจ “เอ่อ ฉันไปดูหน่อยดีกว่าว่าเขาอยากได้อะไร”
นี่ก็อีกหนึ่ง ‘ตกลง’ นะครับ

เธอสะดุดสองหนระหว่างที่เธอเดินมาหาผมถึงจะไม่มีอะไรขวางบนพื้นเลย มันก็พื้นปูยางน้ำมันเรียบๆนี่แหละ เอาจริงๆนะเนี่ย นี่ผมพลาด ไม่ได้สังเกตเรื่องนี้ไปเยอะแค่ไหนแล้วนะ? ผมคงจะมัวไปเพ่งที่ความคิดเงียบๆของเธอ... นี่ผมพลาดอะไรไปอีกบ้าง?
จริงใจเข้าไว้ สบายๆเข้าไว้ ผมร้องบอกตัวเอง

เธอยืนอยู่หลังเก้าอีกตรงข้ามผม กำลังลังเล ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ ผ่านจมูกแทนที่จะเป็นปาก
เอาให้รู้ซึ้งถึงความแผดร้อน ผมคิดกร้าวๆ
“ทำไมวันนี้ไม่นั่งกินด้วยกันล่ะ?” ผมถามเธอ
เธอดึงเก้าออกแล้วนั่งลง ตาจ้องผมตลอดเวลา เธอดูประหม่า แต่ภาษากายของเธอบอกว่า “ตกลง” อีกแล้ว
ผมรอให้เธอพูด
ตั้งครู่หนึ่งแน่ะ แต่ สุดท้าย เธอก็ยอมพูด “นี่มันแปลกๆ”
“ก็...” ผมลังเล “ฉันคิดว่าไหนๆก็จะตกนรกอยู่แล้ว ก็ทำให้มันหมดจดไปซะเลย”

ผมพูดยังงั้นเพราะอะไร? แต่อย่างน้อยมันก็จริงใจล่ะ แล้วบางทีเธออาจจะรับรู้ถึงคำเตือนที่แฝงอยู่ด้วยก็ได้ บางทีเธออาจจะรู้ว่า เธอควรจะลุกขึ้นแล้วก็จากไปให้ไวที่สุด....
เธอไม่ลุกครับ เธอจ้องผมเขม็ง เหมือนผมยังพูดไม่จบประโยคยังงั้นล่ะ
“รู้ไหม ฉันไม่รู้เลยเธอหมายถึงอะไร” เธอพูดหลังจากผมไม่พูดอะไรต่อ
นั่นน่ะโล่งเลยครับ ผมยิ้ม
“ฉันรู้”

ยากครับที่ผมจะไม่สนใจความคิดจากด้านหลังของเธอ ที่กำลังตะโกนแข่งกันใส่ผม แต่ผมก็กำลังอยากเปลี่ยนเรื่องอยู่พอดี
“ฉันว่าเพื่อนๆเธอกำลังโกรธฉันที่ขโมยเธอมาแบบนี้”
ดูเหมือนเธอจะไม่ได้สนใจเท่าไหร่ “เดี๋ยวก็หาย”
“ฉันไม่คืนเธอให้หรอกนะ” ผมก็ไม่รู้ว่า ผมกำลังพยายามจริงใจอยู่หรือเปล่า หรือแค่อยากแหย่เธออีก อยู่ใกล้ๆเธอแบบนี้ทำให้ผมไม่รู้ว่าตัวเองคิดอะไรอยู่

เบลล่ากลืนน้ำลายดังเอื๊อก

ผมหัวเราะ “เธอดูกังวลนะ” ผมไม่ควรจะขำเลยจริงๆ... เธอควรจะกังวลจริงๆนั่นแหละ
“ไม่หรอก” เธอนี่โกหกได้แย่มาก เสียงแตกออกอย่างนั้น “จริงๆ ก็แปลกใจแหละ... ว่าแต่วันนี้มีอะไรเหรอ?”
“บอกแล้วนี่” ผมเตือนเธอ “ฉันเหนื่อยแล้วที่พยายามอยู่ห่างจากเธอ ฉันก็เลยยอม” ผมพยายามคงหน้ายิ้มเอาไว้ ไม่ค่อยจะเวิร์คเท่าไหร่ครับที่ต้องมาจริงใจแล้วก็พยายามคุยสบายๆปพร้อมๆกัน
“ยอม?” เธอย้ำแบบงงๆ
“ใช่ ยอมเลิกล้มความพยายามทำตัวดีๆ” และสุดท้าย ผมก็ยอมเลิกบทสนทนาสบายๆ “ตอนนี้ฉันจะทำสิ่งที่อยากทำ อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด” นี่แหละจริงใจมาก ให้เธอเห็นไปเลยว่าผมเห็นแก่ตัว จะได้เตือนเธอไปในตัว
“เธอทำฉันงงอีกแล้ว”
ผมเห็นแก่ตัวมากพอจะดีใจว่านี่ก็ใช่ “ฉันพูดเยอะไปทุกทีเวลาคุยกับเธอ - นี่ก็ปัญหานึงล่ะ”
ก็ปัญหาเล็กๆน้อยๆเมื่อเทียบกับเรื่องที่เหลือ
“ไม่ต้องห่วง” เธอยืนยัน “ฉันไม่เข้าใจอะไรซักอย่าง”
ดี แปลว่าเธออยู่ต่อ “ฉันเชื่อล่ะ”
“งั้นก็ ว่ากันตรงๆ ตอนนี้เราเป็นเพื่อนกันแล้วใช่ไหม?”
ผมคิดครู่นึง “เพื่อน...” ผมพูดซ้ำ ผมไม่ชอบแฮะ มันยังไม่พอ
“หรือไม่ใช่” เธอพึมพำ เริ่มดูอายๆ
นี่เธอคิดว่าผมไม่ชอบเธอขนาดนั้นเลยเหรอ?
ผมยิ้ม “ฉันว่า ลองดูก็ได้ แต่ฉันเตือนก่อนนะว่าฉันไม่ใช่เพื่อนที่ดีสำหรับเธอหรอก”

ผมรอเธอตอบด้วยความทรมาน หวังว่าเธอจะได้ยิน แล้วก็เข้าใจ แต่ผมคิดว่าผมคงต้องตาย ถ้าเธอเข้าใจ น้ำเน่าจริงๆเลย ผมกลายเป็นมนุษย์สุดๆไปแล้วในตอนนี้
หัวใจเธอเต้นเร็วขึ้น “เธอพูดแบบนี้บ่อยมาก”
“ใช่ เพราะเธอไม่ค่อยจะฟังฉันเท่าไหร่” ผมพูด น้ำเสียงจริงจังเกินไปอีกแล้ว “ฉันรอให้เธอเชื่ออยู่นะ ถ้าเธอฉลาดก็ควรจะหลีกเลี่ยงฉันนะ”

อา ว่าแต่ผมจะยอมให้เธอทำยังงั้นจริงไหม ถ้าเธอเกิดทำขึ้นมา?
เธอหรี่ตา “ฉันว่าเธอวิจารณ์สติปัญญาฉันซะชัดเลยเหมือนกันนะ”
ผมไม่แน่ใจว่าเธอหมายถึงอะไร แต่ผมก็ยิ้มเป็นเชิงขอโทษ เดาว่าผมคงไปว่าอะไรเธอเข้าโดยไม่ได้ตั้งใจ
“งั้น” เธอพูด “ตราบใดที่ฉัน เอ่อ ... ไม่ฉลาด เราก็จะลองเป็นเพื่อนกันดูใช่ไหม?”
“ประมาณนั้นล่ะ”
เธอก้มหน้า มองขวดน้ำมะนาวในมือ
ความอยากรู้ดั้งเดิมทำให้ผมทรมาน
“คิดอะไรอยู่เหรอ?” ผมถาม - โล่งจริงๆครับที่สุดท้ายก็ได้พูดคำนี้ออกมาเสียที

เธอสบตาผม แล้วก็หายใจถี่ขึ้น พร้อมๆกับที่แก้มเริ่มเปลี่ยนเป็นสีชมพู ผมหายใจเข้า รับรสชาดของมันในอากาศ
“ฉันกำลังพยายามคิดว่าเธอเป็นอะไรกันแน่”
ผมคงหน้ายิ้มเอาไว้ คงร่างกายผมเอาไว้อย่างนั้น ขณะที่ความตระหนกเริ่มแผ่ไปทั่วร่าง
แน่ล่ะเธอต้องสงสัย เธอไม่ได้โง่ ผมหวังไม่ได้หรอกว่า เธอจะตาบอดกับสิ่งที่ชัดเจนขนาดนี้
“แล้วพอจะมีโชคบ้างหรือยัง?” ผมถามด้วยความรู้สึกสบายๆที่สุดเท่าที่จะทำได้
“ไม่เท่าไหร่” เธอยอมรับ

ผมหัวเราะ จากความโล่งที่เกิดขึ้นในทันที “มีทฤษฎีอะไรแล้วมั่ง?”
ไม่มีอะไรจะแย่กว่าความจริงหรอก ไม่ว่าเธอจะคิดว่าผมเป็นอะไรก็ตาม
แก้มเธอเป็นสีแดงมากขึ้น และก็ไม่ยอมพูดอะไร ผมรู้สึกถึงความอบอุ่นจากหน้าแดงๆของเธอในอากาศ

ผมพยายามใช้น้ำเสียงโหมดจูงใจของผมกับเธอ กับคนอื่นวิธีนี้ใช้ได้ผลดีทีเดียว
“จะไม่บอกกันหน่อยเหรอ?” ผมยิ้มให้กำลังใจ
เธอส่ายหน้า “น่าอายเกินไป”
อ๊าก พอไม่รู้ว่าอะไรยิ่งทรมานกว่าอะไรทั้งหมด ทำไมที่เธอสงสัยถึงทำให้เธอรู้สึกอายไปได้? ผมทนความไม่รู้ไม่ได้
“นั่นน่ะน่าหงุดหงิดมาก รู้ไหม”

ที่ผมบ่นไปทำให้เธอเกิดความรู้สึกบางอย่างขึ้น ตาเธอวาวขึ้นแล้วคำพูดก็พรั่งพรู เธอพูดเร็วกว่าปกติ
“ไม่เห็นจะนึกออกเลยว่ามันน่าหงุดหงิดยังไง แค่คนเขาไม่บอกว่าคิดยังไง ต่อให้ไอ้ที่เขาทำมันจะลึกลับชนิดที่ว่า คิดทั้งคืนก็คิดไม่ออกว่ามันจะหมายถึงอะไร... ทีนี้ บอกมาซิ ว่าเรื่องนี้มันน่าหงุดหงิดยังไง?”
ผมขมวดคิ้วใส่เธอ เซ็งที่เธอพูดถูก ผมนี่ไมแฟร์เอาซะเลย
เธอพูดต่ออีก “หรือเด็ดกว่านั้นนะ จะบอกว่าคนนั้นน่ะ ทำเรื่องประหลาดสารพัดด้วย ตั้งแต่ช่วยชีวิตเราแบบไม่น่าจะทำได้เพื่อที่วันนึงก็มาทำเหมือนเราเป็นคนน่ารังเกียจรุ่นถัดไป แล้วก็ไม่ยอมอธิบายอะไรนะ ถึงจะสัญญากับเราแล้วก็เถอะ จะบอกว่าขนาดนี้ก็ยังไม่น่าหงุดหงิดเลยซักนิด”
นี่คือคำพูดที่ยาวที่สุดของเธอที่ผมเคยได้ยิน ผมจัดการเก็บคุณสมบัติข้อนี้ลงในรายการของผมเรียบร้อย
“โกรธอยู่ใช่ไหมเนี่ย?”
“ฉันไม่ชอบพวกสองมาตรฐาน”
แน่นอนครับ เธอตัดสินได้อย่างถูกต้องแล้วในความโกรธนั้น
ผมมองเบลล่า กำลังสงสัยว่าจะต้องทำยังไงเธอถึงจะเห็นว่าถูกบ้าง พอดีผมได้ยินไมค์ นิวตั้นตะโกนในหัวของเขา ผมหัวเราะ
“มีอะไร” เธอถามดุๆ
“ดูเหมือนแฟนเธอกำลังคิดว่าฉันทำให้เธอไม่พอใจอยู่ เขากำลังคิดว่า จะเดินมาหยุดเราไม่ให้ทะเลาะกันดีไหม” ผมอยากให้เขาลองทำจริงๆ ผมหัวเราะอีกครั้ง
“ฉันไม่รู้เธอพูดถึงใคร” เธอพูดด้วยเสียงเย็นชา “แต่ยังไง เธอก็พูดผิดอยู่ดี”
ผมสนุกมากที่เธอไม่ยอมรับในน้ำเสียงนั้น
“ไม่ผิดหรอก บอกแล้วนี่ ว่าคนส่วนใหญ่น่ะอ่านง่าย”
“ยกเว้นฉันน่ะสิ”
“ใช่ ยกเว้นเธอ” นี่เธอจะเป็นข้อยกเว้นในทุกๆเรื่องหรือไงนะ?
จะแฟร์กว่านี้ไหม ถ้าผมสามารถได้ยินซักหน่อยก็ยังดีจากหัวของเธอ ถ้าดูจากว่า ผมต้องรับมืออะไรบ้างจนถึงตอนนี้ มากไปหรือไงแค่จะถามว่า “สงสัย ทำไมต้องยังงี้?”
ผมจ้องตาเธอ ลองดูอีกซักที....
เธอหันไปทางอื่น เปิดฝาขวดน้ำมะนาวแล้วก็ดื่ม ตามองบนโต๊ะ
“ไม่หิวเหรอ?” ผมถาม
“ไม่” เธอมองบนโต๊ะว่างๆระหว่างเรา “เธอล่ะ?”
“ไม่ ฉันไม่หิว” ผมตอบ ผมไม่หิวขนาดนั้นแน่นอน
เธอมองที่โต๊ะแล้วก็ขยับปากจะพูด ผมรอ
“ช่วยอะไรอย่างได้ไหม?” เธอถาม พร้อมกับมองตาผมอีกครั้ง
เธอต้องการอะไรจากผม? เธอจะถามหาความจริงที่ผมตอบไม่ได้หรือเปล่า? ความจริงที่ผมไม่อยาก ไม่อยากให้เธอรู้เลย?
“ก็แล้วแต่ว่าเธอจะขออะไร”
“ไม่ใช่อะไรมากมายหรอก” เธอสัญญา
“ฉันแค่อยากรู้....” เธอพูดช้าๆ มองที่ขวดน้ำมะนาว ใช้นิ้วก้อยไล้ปากขวดเล่น “ว่าเธอจะเตือนฉันหน่อยได้ไหม ถ้าครั้งหน้าเธอจะบึ้งตึงใส่ฉันอีก จะได้เตรียมตัวถูก”
เธออยากได้คำเตือนเหรอ? อย่างนี้ก็แปลว่า เวลาโดนผมเมินใส่ก็ต้องไม่ใช่เรื่องดีสำหรับเธอน่ะสิ ... ผมยิ้ม
“ก็แฟร์ดี” ผมเห็นด้วย
“ขอบใจ” เธอตอบก่อนเงยหน้า สีหน้าเธอดูโล่งจนผมอยากหัวเราะด้วยความโล่งบ้าง
“ให้ฉันหนึ่งอย่างเป็นการตอบแทนได้ไหมล่ะ”
“หนึ่งนะ” เธออนุญาต
“ฉันขอหนึ่งทฤษฎี”
เธอหน้าแดง “อันนั้นไม่ได้”
“อะไรกัน เธอเพิ่งสัญญาว่าจะให้หนึ่งอย่าง” ผมเถียง
“เธอก็ผิดสัญญาเหมือนกัน” เธอเถียงกลับ
โดนเต็มๆ
“ขอเรื่องเดียวนะ ฉันจะไม่หัวเราะ”
“เธอหัวเราะแน่” ดูเธอจะมั่นใจเรื่องนั้นจริงๆ แต่ผมก็นึกไม่ออกว่าจะมีอะไรน่าหัวเราะ
ผมลองโหมดจูงใจอีกครั้ง มองลึกเข้าไปในตา-ของกล้วยๆ เมื่อตาเธอมันช่างลึกล้ำ- ก่อนกระซิบเบาๆ “นะ ได้โปรด?”
เธอกระพริบตา หน้าตาว่างเปล่า
นี่ไม่ใช่ปฏิกริยาที่ผมหวังจะเห็นซักหน่อย
“เอ่อ...อะไรนะ?” เธอถาม เธอดูมึนๆ นี่เธอเป็นอะไรไป?
แต่ผมไม่ยอมหรอก
“นะ ช่วยเล่าหนึ่งทฤษฎีนะ” ผมขอร้องด้วยเสียงนุ่มๆ ไม่น่ากลัว พร้อมกับจ้องเธอไม่วางตา
ด้วยความแปลกใจและพอใจ... สุดท้ายก็ได้ผลครับ
“เอ่อ... ก็ ถูกแมงมุมโดนรังสีกัด?”
การ์ตูนเหรอ? ไม่แปลกใจเลยทำไมเธอถึงคิดว่าผมจะหัวเราะ
“ไม่ค่อยสร้างสรรค์เลยนะ” ผมแหย่ พยายามซ่อนความโล่งอย่างแรงที่เกิดขึ้น
“ขอโทษ...คิดออกเท่านี้ล่ะ” เธอตอบ น้ำเสียงเหมือนโดนว่า
ผมยิ่งโล่งหนักเข้าไปอีกจนสามารถล้อเธอได้อีก
“ไม่ได้ใกล้เล้ย”
“ไม่เกี่ยวกับแมงมุมเหรอ?”
“ไม่”
“ไม่มีเรื่องรังสีอะไรนะ?”
“ไม่มี”
“กำ...” เธอถอนหายใจ
“คริปโตไนท์ก็ทำอะไรฉันไม่ได้” ผมพูดอย่างรวดเร็ว ก่อนเธอจะถามเรื่องกัด แล้วผมก็หัวเราะ เพราะเธอคิดว่าผมเป็นพวกซูเปอร์ฮีโร่
“ไหนว่าจะไม่หัวเราะไง ลืมแล้วเหรอ?”
ผมเม้มปากกลั้นหัวเราะ
“สุดท้ายฉันจะเข้าใจจนได้” เธอสัญญา
พอเธอรู้ เธอก็จะหนีไป
“ฉันไม่อยากให้เธอลอง” ผมพูด ตอนนี้ไม่ได้ล้อเล่น
“เพราะว่า...?”
ผมติดหนี้ต้องเล่าความจริงให้เธอฟัง ผมพยายามยิ้มเพื่อทำให้คำพูดของผมไม่ฟังเหมือนขู่เธอเกินไป “ถ้าฉันไม่ใช่ซูเปอร์ฮีโร่? ถ้าฉันเป็นตัวร้ายล่ะ?”
เธอทำตาโต ปากอ้างค้างน้อยๆ “โอ้” เธอพูด เว้นไว้หนึ่งวินาที “เข้าใจแล้ว”
เธอได้ยินผมเสียทีครับ
“จริงเหรอ?” ผมถาม พยายามปิดบังความเจ็บปวด
“เธออันตรายใช่ไหม?” เธอเดา หายใจถี่ขึ้น หัวใจเต้นเร็วขึ้น
ผมตอบคำถามเธอไม่ได้ นี่จะเป็นโอกาสสุดท้ายที่จะได้อยู่กับเธอหรือเปล่า? เธอจะวิ่งหนีแล้วใช่ไหม? ผมจะบอกก่อนเธอวิ่งหนีดีไหมว่าผมรักเธอ? หรือนั่นจะทำให้เธอกลัวยิ่งขึ้น?
“แต่ไม่ได้ชั่วร้าย” เธอกระซิบ สั่นหัว ในตาไม่ได้มีความกลัวเลย “ไม่ ฉันไม่เชื่อหรอกว่าเธอชั่วร้าย”
“เธอคิดผิด” ผมกระซิบ

แน่ล่ะ ผมชั่วร้าย ผมควรจะดีใจไม่ใช่เหรอ ที่เธอเห็นว่าผมดีกว่าที่ผมเป็น? ถ้าผมเป็นคนดีจริง ก็คงจะอยู่ห่างๆจากเธอ
ผมยืดแขนข้ามโต๊ะ มาหยิบฝาขวดแก้เก้อ เธอไม่ได้ขยับมือหนีจากผมที่ยื่นมือเข้าไปหาแบบไม่บอกไม่กล่าว เธอไม่ได้กลัวผมนี่นา ยังก่อน
ผมหมุนฝาขวดเหมือนลูกข่าง มองมันแทนที่จะมองเธอ ความคิดผมกำลังคำราม

วิ่งหนีสิ เบลล่า วิ่ง

ผมพูดคำเหล่านั้นออกมาดังๆไม่ได้
เธอลุกขึ้นยืน “เราจะสายแล้วนะ” เธอพูดขณะที่ผมกำลังกลัวว่า เธอได้ยินที่ผมกำลังเตือนในความคิดอยู่งั้นหรือ
“วันนี้ฉันโดด”
“ทำไมล่ะ?”
เพราะฉันไม่อยากฆ่าเธอน่ะสิ “โดดเรียนบ้างจะดีรู้ไหม”
เอาให้ถูกคือ จะดีกับมนุษย์ ถ้าแวมไพร์โดดเรียนในวันที่เลือดมนุษย์จะกระจาย วันนี้มิสเตอร์แบนเนอร์จะให้นักเรียนตรวจกรุ๊ปเลือด เช้านี้อลิสก็โดดเรียนไปแล้ว
“ฉันจะไปเรียนนะ” เธอพูด ไม่แปลกใจหรอกครับ เธอเป็นคนมีความรับผิดชอบ - เธอทำแต่สิ่งที่ถูกต้องเสมอ
เธอตรงข้ามกับผม
“งั้นก็ ไว้เจอกันทีหลัง” ผมพูด พยายามทำให้ดูสบายๆอีกครั้ง ขณะก้มมองที่ฝาขวด แล้วก็ ฉันชอบเธอ... แบบที่น่ากลัว และอันตราย

เธอลังเล ผมหวังว่าเธอจะอยู่กับผมต่อ แต่พอระฆังดังเธอก็รีบออกไป
ผมรอจนเธอลับตา แล้วก็เก็บฝาขวดใส่กระเป๋า - ของที่ระลึกจากการพูดคุยที่เป็นเรื่องเป็นราวที่สุด - ก่อนเดินตากฝนไปที่รถ

โดย: hs3puk
Previous post Next post
Up