[Fanfiction Supernatural RPS] It's Too Different Part XII

Feb 07, 2010 15:37


It’s Too Different

Author : Raiden
Fandom : Supernatural RPS
Pairing/Characters : Jared/Jensen , OCs
Rating : NC-17
Language : Thai
Warning : m/m , AU , angst , emotional abuse , child abuse , graphic violence , this story is sequel Raindrops Of Destiny you should read that first
Word count : 31,790 words
Spoilers : None.
Disclaimer : I own them in my dream.
Summary : Jensen moved to Los Angeles. He wants the new started in his life but it’s too much memories that he don’t want to remember.(sorry for my summary b/c my poor English and read the warning again don’t tell me I didn’t warn you.)


Another knife in my hands
A stain that never comes off the sheets
Clean me off
I'm so dirty babe
The kind of dirty where the water never cleans off the clothes
I keep a book of the names and those

I Never Told You What I Do For A Living - My Chemical Romance

Chapter Twelve : I’ll Never Let You Down

จาเร็ดยืนล้างจานอยู่ในร้านฮอตคัพตามปกติเฉกเช่นที่เขาทำมาเป็นเวลาเกือบหนึ่งเดือนเต็ม ซึ่งวันนี้อารมณ์ของเขาอาจดูแตกต่างไปเดิมเนื่องจากวันนี้เจนเซ่นดูจะอารมณ์ไม่ค่อยดีเสียเท่าไรนัก บางทีเขาควรจะให้เวลาและปล่อยชายหนุ่มอยู่เพียงลำพังบ้าง อารมณ์ของเขาอาจจะดีขึ้นก็เป็นไปได้

“นายจะอยู่ที่นี่จนถึงเมื่อไหร่เหรอ” แช้ดยืนพิงอยู่ริมประตู น้ำเสียงที่เอ่ยถามมีแววอยากรู้อยากเห็น ก่อนจะหันไปมองว่าไม่มีใครที่แอบฟังพวกเขายืนคุยกันอยู่

“ก็จนกว่างานจะจบนั่นล่ะ” ชายหนุ่มล้างมือก่อนจะถอนหายใจอยู่เฮือกใหญ่ นั่นล่ะปัญญาที่เขากำลังวิตกกังวลมากที่สุด ส่วนหนึ่งอยากให้งานนี้มันจบๆไป แต่อีกส่วนหนึ่งเขายังไม่อยากที่จะจากเขาคนนั้นไป

“ชั้นกลัวเจ๊โซเฟียเค้าจะรู้เรื่องนี้เข้าน่ะสิ ถ้ารู้เข้าล่ะก็ ชั้นนี่แหละจะตายไม่ใช่นาย” ชายหนุ่มหัวเกรียนยืนเกาหัวแกรกๆอย่างเซ็งๆ “อิจฉานายจังน้า ถ้าชั้นเรียนดีแล้วได้ดิบได้ดีอย่างนาย ป่านนี้คงไม่ต้องมานั่งทำงานอยู่ร้านนี้”

“นายพูดอะไรนะ อย่าหาว่าชั้นไม่ได้ยินนะแช้ด!!!!!” ราวกับมีโทรโข่งขยายเสียงขนาดใหญ่ เสียงหญิงสาวเจ้าของร้านดังมาแต่ไกลทำเอาแช้ดขนลุกซู่ๆอย่างไม่ต้องสงสัย ชายหนุ่มทำท่าทางเก้งๆก้างๆพยายามเอ่ยขอโทษหญิงสาวออกไป ก่อนจะทำหน้าแหยๆพลางปาดนิ้วที่คอของตนให้จาเร็ดแล้วจึงถูกโซเฟียดึงหูหายลับไปจากสายตา

จาเร็ดส่งเสียงหัวเราะพลางสายหน้าน้อยๆให้กับการกระทำของคนตรงหน้า  ก่อนที่เสียงหัวเราะจะหยุดลงเมื่อเสียงสัญญาณของเครื่องติดตามเล็กๆดังขึ้นในกระเป๋ากางเกงยีนส์ตัวโปรด ชายหนุ่มล้วงมือหยิบเครื่องเล็กๆขึ้นมาทันที ก่อนจะเห็นแสงกระพริบถี่ๆสุดท้ายแล้วจึงหายวับไปจากหน้าจอ

นั่นทำให้ใบหน้าของชายร่างสูงซีดเผือก เขาไม่รอช้ารีบหยิบโทรศัพท์มือถือของตนขึ้นมาทันที

“คริสต์ เกิดเรื่องใหญ่แล้ว พยานของเราหายตัวไปจากจอเรห์ดา” ใจของจาเร็ดตอนนี้อยู่ไม่สุข เขารู้ว่าเรื่องนี้จะต้องเกิดขึ้น แต่ไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นเวลาที่เขาไม่ได้อยู่กับเจนเซ่นเช่นเวลานี้

“ชั้นกำลังไป บางทีเค้าอาจจะแค่ออกไปที่ไหนสักที่”

“ไม่มีทางเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมาเจนเซ่นยังอยู่ที่อพาทเมนต์ และเขาก็ไม่มีรถ คนอย่างเจนเซ่นถ้าไม่จำเป็นจริงๆไม่มีทางนั่งรถแท็กซี่แน่ๆ”

“นายต้องใจเย็นๆ เอาล่ะช่วยบอกทางครั้งสุดท้ายที่นายเห็นเป้าหมายหายไปด้วย”

“ทางใต้ของลอสแองเจิลลิส ถ้ามิวตัสต้องการจะหนีจริงๆ เมืองที่น่าจะไปก็คือ....แซนดิเอโก้”

“โอเค เดี๋ยวชั้นจะขอกำลังเสริมดู ทางตอนใต้ติดทะเลาซะด้วยสิ ไม่แน่เหมือนกันว่าอาจจะเลือกทางเดินเรือ ชั้นจะไปทางนั้นแล้วกัน ส่วนนายไปอีกทาง ถ้าชั้นได้ข่าวอะไร เดี๋ยวจะโทรมาบอกนายอีกที” จาเร็ดไม่รอช้า หลังจากวางเสียกับคริสต์เขาก็รีบออกจากที่นั่นทันที

~***~

เสียงกึกก้องที่ดังอยู่ในหูทั้งสองข้างชวนให้ความอยากรู้อยากเห็นบังเกิดขึ้น หากแต่หนังตาช่างหนักอึ้งราวกับมีหินนับร้อยตันมาทับเอาไว้ สุดท้ายเขาก็ได้แต่ยอมแพ้ไปกับมัน น้ำเสียงที่คุ้นหูเรียกชื่อเขาเบาๆจากที่ไหนสักแห่งที่ไกลแสนไกล บางทีมันอาจเป็นเพียงความฝันเขาไม่สามารถตอบคำถามนี้ได้ รู้แต่เพียงเวลานี้ช่างสงบสุขปราศจากซึ่งความเจ็บปวดที่ต้องทนมานานนับปี ความคิดที่เลือนลางชวนให้สมองปลอดโปร่ง ไม่มีความกังวลเรื่องต่างๆนานาว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตนเอง ใครจะคิดอย่างไรกับเขา ถ้าที่คือสิ่งที่เรียกว่าวินาทีสุดท้ายของชีวิต เขาก็ยอมแลกทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านมาเพียงเพื่อเวลาอันน้อยนิดนี้เท่านั้น

เสียงของใครบางคนเรียกชื่อเขาอีกครั้ง หากแต่ครั้งนี้ชายหนุ่มกลับไม่ยอมแพ้ ดวงตาทั้งสองค่อยๆลืมขึ้นมาเล็กน้อยแต่ภาพที่อยู่ตรงหน้านั้นไม่ต่างอะไรกับการเดินท่ามกลางความฝันที่ยาวนาน มีใครบางคนกำลังวิ่งตรงมาที่เขา ไม่ว่าเขาพยายามจะเพ่งมองเท่าไร เรี่ยวแรงก็ดูเหมือนจะเหือดหายไปเท่านั้น

ก่อนที่ทุกอย่างจะมืดลงมีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นที่สว่างขึ้นในความคิดของเขา

~***~

“เจนเซ่น...นายไม่เป็นไรใช่ไหม” สิ่งแรกที่เขาเห็นคือดวงตาสีเขียวปนน้ำตาลอ่อนที่สะท้อนแววของความเป็นห่วงมาให้เขา เจ้าของชื่อส่งยิ้มน้อยๆให้แก่ชายตรงหน้าก่อนที่จะรีบลุกขึ้นอย่างฉับพลัน ความเจ็บปวดแล่นแปล่บไปทั่วร่าง

“นายอย่าลุกเร็วอย่างนั้น!!” จาเร็ดรีบประคองเขาทันทีพลางค่อยๆจัดหมอนและผ้าห่มเพื่อให้เขาลงไปนอนอีกครั้งหนึ่ง ก่อนจะบอกให้เขานอนอยู่เฉยๆอย่าเพิ่งขยับตัวมากเดี๋ยวปากแผลจะเปิดเอา

“กะ-เกิดอะไร-ขึ้น” น้ำเสียงที่แห้งผากจากการกรีดร้องเป็นเวลานานทำให้ชายหนุ่มต้องกลืนน้ำลายลงอย่างยากเย็น จาเร็ดยื่นน้ำแก้วใสมาให้เขารับไปก่อนจะทรุดตัวนั่งลงอยู่ถัดจากเตียงคนไข้

“นายสลบไป 3 วันเต็ม บาดแผลนายสาหัสมาก อาจต้องใช้เวลาเป็นเดือนในการรักษา แต่ไม่ต้องห่วงนะ เดี๋ยวทุกอย่างจะดีขึ้นเอง” เจนเซ่นอดแปลกใจอยู่ไม่ได้ว่าทำไมแผลเขาถึงสาหัดขนาดนั้น ทั้งๆที่มันไม่ควรจะเป็น หรือว่ายานั่น...แต่เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่เขาอยากจะรู้จากจาเร็ด การที่เขารอดจากสถานที่นั่นยังไงต่างหากที่เขาอยากรู้

“ชั้นหมายถึงเกิดอะไรขึ้นกับพ่...ชั้นหมายถึงมิวตัส เซอร์เวสน่ะ เขาควรจะอยู่ที่นั่นกับชั้นไม่ใช่เหรอ แล้วครอสล่ะ นายหาตัวชั้นเจอได้ยังไง แล้วใครที่เป็นคนช่วย..”

“ใจเย็นเจนเซ่น นายต้องพักผ่อนมากๆนะ ถ้านายอาการดีขึ้นกว่านี้ชั้นจะเล่าทุกอย่างให้นายฟัง” ใจเขาส่วนหนึ่งอยากรู้เรื่องที่เกิดขึ้นใจจะขาด แต่ก็จริงจากที่จาเร็ดพูด ดูเหมือนตอนนี้ร่างกายเขาจะอ่อนเพลียอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ถ้าสิ่งที่เขาจะได้ยินต่อจากนี้ยิ่งทำให้เขาแย่ลงกว่าเดิมล่ะก็ บางทีเขาควรจะฟังเรื่องนี้ทีหลังก็เป็นได้

“นายรู้ไหม ว่าชั้น...เกลียดโรงพยาบาลเป็นที่สุด” ใช้เวลาเพียงไม่นานนักก่อนที่เจนเซ่นจะเข้าสู่นิทราไปอีกครั้ง ชายหนุ่มร่างสูงนั่งถอนหายใจอยู่ข้างกาย มือหนึ่งยกขึ้นเพื่อกุมมือของผู้ที่นอนอยู่บนเตียง ใจเพียงแต่เฝ้าภาวนาขอให้อีกฝ่ายยกโทษให้แก่เขา

เขารู้ตัวว่าการโกหกมันเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง และยากนักที่จะได้รับการให้อภัย แต่สิ่งเดียวที่เขาทำได้ก็คือยอมรับความเป็นจริงที่ไม่อาจแก้ไขที่จะเกิดขึ้นเท่านั้น

~***~

“เขากำลังจะมา!!!! ไม่!! เขาพบผมแล้ว!!! อย่า-ได้โปรด-ด..ผมจะไม่ทำผิดอีก...ได้โปรด…” หลายวันผ่านไป ดูเหมือนเจนเซ่นจะมีอาการดีขึ้นกว่าเดิมมากแล้ว แต่นั่นก็เป็นเพียงร่างกายไม่เกี่ยวกับจิตใจของเจ้าตัว อาการฝันร้ายยังคงตามหลอกหลอนเขาอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด เมื่อเขาเอาเรื่องนี้ไปพูดคุยกับหมอ สิ่งที่ได้รับกลับมาก็คือการรอคอยเวลาเท่านั้น เวลาที่เจนเซ่นจะกลับมาเข้มแข็งและเผชิญหน้ากับอดีตที่ผ่านมา

“ไม่เป็นไรเจน นายต้องหายใจลึกๆ ไม่มีใครจะมาทำร้ายนายอีกแล้ว” ฝ่ามือหนาลูบหน้าผากของผู้ที่นอนอยู่บนเตียงด้วยความอ่อนโยนหวังจะปลอบประโลมจิตใจของคนตรงหน้าให้ดีขึ้น

“พวกเขามาแล้วจาเร็ด!! นายต้องรีบหนี ไม่งั้น..”

“พวกตายไปแล้ว เจน!!” จาเร็ดตะโกนออกไปสุดเสียง มือที่จับเข้ากับอีกฝ่ายกำไว้แน่น อยากให้เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดจบลงแต่เพียงเท่านี้ ห้องทั้งห้องเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ดูเหมือนทั้งสองฝ่ายจะอึ้งไปชั่วขณะ ทั้งตกใจกับสิ่งที่ตนพูดออกไป และประหลาดใจกับคำตอบที่ตนได้รับ

“ดะ-ได้อย่างไง...”

ชายหนุ่มร่างสูงกลืนน้ำลายอยู่เอื้อกใหญ่ ไม่อยากให้คนตรงหน้าได้รับรู้ความจริงในเวลาเช่นนี้ แต่อีกฝ่ายดูเหมือนจะไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้น เจนเซ่นเอ่ยถามเขาอีกครั้ง จาเร็ดได้แต่เพียงถอนหายใจและยอมรับความจริง

“นายเป็นคนฆ่าพวกเขาเอง เรามีวีดีโอที่แน่ชัดในการยืนยันตัว” เราอย่างนั้นเหรอ แล้วเขาเป็นคนฆ..ฆ่าพวกเขาอย่างนั้นเหรอ ได้อย่างไร

บรรยากาศชวนอึดอัดเริ่มก่อตัวขึ้นอีกครั้ง เจนเซ่นก้มลงมองที่ฝ่ามือที่สั่นเทาของตนเองก่อนจะเงยหน้าขึ้น

“นายเป็นใครกันแน่...จาเร็ด” น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาสั่นด้วยความไม่แน่ใจ ภาวนาขอให้คำตอบที่เขากำลังได้ยินไม่ใช่สิ่งที่เขาคิด

“ชั้นเป็นนักสืบ ชั้นขอโทษเจน ชั้นไม่ได้ตั้งใจจะโกหกนาย” เมื่อสิ้นสุดคำพูดของจาเร็ด ชายหนุ่มได้แต่เฝ้ารออาการตอบสนองของอีกฝ่าย หากแต่สิ่งที่ได้รับกลับมากับเป็นเพียงสายตาที่เต็มไปด้วยความผิดหวัง

“เจน ชั้น..”

“ออกไป!!!!! ออกไปจากห้องชั้นเดี๋ยวนี้!!!” ชายหนุ่มร่างสูงผงะทันทีที่ได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย เขารู้ว่าอีกฝ่ายต้องรู้สึกผิดหวังในสิ่งที่เขาทำ แต่เขาไม่คาดคิดว่าเจนเซ่นจะผลักไสไล่ส่งเขาแบบนี้

จาเร็ดพยายามเข้าไปห้ามไม่ให้ชายหนุ่มทำร้ายตัวเองไปมากกว่านี้ นี่คงเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เขาไม่อาจให้อภัยแก่ตนเองได้ ชายตรงหน้าคนที่ไม่เคยไว้ใจใครอย่างแท้จริงแต่กลับไว้วางใจเขาผู้ซึ่งท้ายที่สุดแล้วกลับหักหลังเขา

“คุณต้องออกไปเดี๋ยวนี้นะคะ เดี๋ยวคนไข้จะแตกตื่นกว่าเดิม”

“แต่ว่า..” เขาอยากจะอยู่กับเจนเซ่นมากกว่านี้ เขาอยากจะแก้ตัวกับชายหนุ่มอีกครั้ง แต่ดูเหมือนเหตุการณ์ในครั้งนี้เขาจะยิ่งพาชายหนุ่มแย่ลงไปยิ่งกว่าเดิม

“เรามียาช่วยระงับประสาทให้ค่ะ ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวเขาจะอาการดีขึ้นเอง”

“ชั้น..ขอโทษเจนเซ่น” จาเร็ดมองหน้าคนที่เขารักเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะปิดประตูหายลับไปจากห้องคนไข้

~***~

เมื่อเวลาผ่านไปหลายชั่วโมงชายหนุ่มนั่งครู่คิดกับสิ่งที่เกิดขึ้น แม้ว่าสิ่งที่เขาทำลงไปจะผิด แม้ว่าเขาจะโกหกเจนเซ่นลงไป แต่ความรู้สึกที่เขามีให้แก่ชายหนุ่มผู้นั้นไม่ใช่การหลอกลวง เขารักเจนเซ่นจากใจจริง แต่ในตอนนี้มันอาจสายเกินไปที่ชายหนุ่มจะให้โอกาสในการแก้ตัวแก่เขาอีกครั้ง

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นข้างกาย จาเร็ดเลื่อนสายตาไปมองชื่อผู้โทรก่อนจะค่อยๆกดรับโทรศัพท์ขึ้น

“มีอะไร...ห้ะ เกิดอะไรขึ้น”

“ตอนนี้เลยเหรอ…แต่ว่า……โอเค รับทราบ” คิ้วทั้งสองขมวดเข้าหากันทันทีหลังจากที่ชายหนุ่มวางหู

“เอ่อ มิสเตอร์พาดาลิคกิใช่ไหมค่ะ ตอนนี้มิสเตอร์แอคเคิลอาการดีขึ้นแล้วค่ะ” จาเร็ดเงยหน้ามองพยาบาลที่ออกมาจากห้องของเจนเซ่นพลางพยักหน้าเล็กน้อยเพื่อเป็นการรับรู้ ก่อนลุกขึ้นยืนพลางยื่นแฟ้มสีขาวบริสุทธิ์แฟ้มหนึ่งให้กับนางพยาบาล

เจนเซ่น ชั้นขอโทษจริงๆ แต่ชั้นสัญญา....

~***~

ดวงตาสีเขียวมรกตเหม่อมองลอดออกไปทางหน้าต่างบานเดียวที่อยู่ภายในห้องแห่งนี้ น้ำตาใสๆเพียงหยดเดียวร่วงหล่นบนโหนกแก้มข้างหนึ่ง ก่อนจะกระทบลงบนกระดาษที่อยู่ตรงหน้า แฟ้มที่จาเร็ดให้เขามาบอกทุกๆเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับตัวเขา แม้กระทั่งข้อมูลเกี่ยวกับรูปที่ครอสส่งมาให้เขาว่าเป็นการแต่งภาพขึ้นมาเอง

เขารู้ทุกๆอย่างมาตั้งแต่แรกแล้วสินะทั้งๆที่รู้แต่กลับทำเป็นไม่รู้ ทำไมถึงต้องโกหกเขาด้วย

สิ่งๆเดียวที่เขารู้สึกเหมือนโดนทรยศก็คือ คนที่เขาไว้ใจมากที่สุดกลับเป็นคนโกหกเขาเสียเอง หรือมันเป็นความผิดของเขาเองที่ดันไปเชื่อใจจาเร็ด

มันก็เหมือนกับทุกๆคนนั่นแหละ แต่ทำไมเพราะเป็นคนๆนี้ เขาถึงเจ็บมากกว่าคนอื่น

เจนเซ่นเหลือบมองไปยังเอกสารอีกชุดที่เขียนบรรยายเกี่ยวกับการที่เขาฆาตกรรมครอบครัวของตนเอง ใจหนึ่งกลับสบายใจกับสิ่งที่เขาได้ทำลงไป แต่อีกใจหนึ่งกลับกลัวตนเองที่คิดเยื่ยงนั้น เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนเองทำอะไรลงไป บางทีมันอาจเป็นสัญชาตญาณบางอย่างในส่วนลึกของจิตใจของเขาว่าอยากให้พวกนั้นตาย ด้วยสองมือนี้ ชายหนุ่มก้มลงมองมือที่สั่นเทาทั้งสองของตนเอง มือที่เปื้อนเลือดไม่ต่างอะไรจากพ่อของเขา แต่ในเอกสารนั่นกลับระบุไว้ว่าเป็นการกระทำเพื่อการป้องกันตัวเท่านั้น

ในแฟ้มนั่นมีจดหมายซองสีขาวแบบเดียวกันแนบมาด้วย เจนเซ่นลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะค่อยๆแกะจดหมายนั่นออก สายน้ำน้อยๆไหลลงมามากกว่าเดิม

ลาก่อนเจนเซ่น….แต่ชั้นสัญญา ชั้นจะกลับมา

If weakness is a wound

That no one wants to speak of

Then “cool” is just how far we have to fall

I am not immune

I only want to be loved

But I feel safe behind the firewall

Can I lose my need to impress?

If you want the truth, I need to confess

I’m not alright

I’m broken inside, broken inside

And all I go through

It leads me to you, it leads me to you

Burn away the pride

Bring me to my weakness

Until everything I hide behind is gone

And when I’m open wide

With nothing left to cling to

Only you are there to lead me on

Cause honestly, I’m not that strong

I’m not alright

I’m broken inside, broken inside

And all I go through

It leads me to you, it leads me to you

And I move, and I move, and I move...closer to you

And I move, and I move, and I move...closer to you

And I move, and I move, and I move...closer to you

And I move, and I move, and I move...

I’m not alright

I’m broken inside, broken inside

broken inside, broken inside

And all I go through

Leads me to you, leads me to you

I’m not alright, I’m not alright, I’m not alright...

That’s why I need you

TBC...

rps, supernatural, au, nc-17, fanfiction, j2, thai, fic : it's too different

Previous post Next post
Up