[Fanfiction Supernatural RPS] It's Too Different Part IX

Jan 07, 2010 18:49


It’s Too Different

Author : Raiden
Fandom : Supernatural RPS
Pairing/Characters : Jared/Jensen , OCs
Rating : NC-17
Language : Thai
Warning : m/m , AU , angst , emotional abuse , child abuse , graphic violence , this story is sequel Raindrops Of Destiny you should read that first
Word count : 31,790 words
Spoilers : None.
Disclaimer : I own them in my dream.
Summary : Jensen moved to Los Angeles. He wants the new started in his life but it’s too much memories that he don’t want to remember.(sorry for my summary b/c my poor English and read the warning again don’t tell me I didn’t warn you.)


Show me the way to make a start
Show me the road back to your heart
And I've learned the only truth that I need to know
There's a million places I can go
But without you it ain't home
It ain't home

Home - Westlife

Chapter Nine : Where’s My Home?

เขาไม่เคยเจอใครที่ใส่ใจและเป็นห่วงเขามานานหลายปี จนบางครั้งความคิดที่ว่าเขาอาจจะไม่สมควรได้รับความรู้สึกเหล่านั้นก็เป็นได้อาจจะเป็นความจริง เขาไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงยอมทรมารตนเองในการมีชีวิตอยู่ต่อไปกับความทุกข์ที่เขาอยากหนีมันมานานแสนนาน ความจริงที่ว่าการหนีโดยเอาความตายเป็นคำตอบนั้นอาจเป็นทางที่ขี้ขลาด แต่สำหรับเขาคนที่ไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้วบางทีนั่นอาจจะเป็นทางออกก็ได้

ในเมื่อตอนนี้ทางเลือกของเขามีไม่มากนัก ไม่ว่าจะโดนพ่อลากตัวกลับไป หรือโดนครอสกลั่นแกล้งราวกับเขาเป็นแค่ของเล่น ทั้งสองตัวเลือกดูเหมือนมันจะแย่ต่างกันไม่มากเท่าไร เจนเซ่นไม่มีทางเลือกนอกจากต้องปล่อยให้โชคชะตาเป็นคนจัดการตัวของมันเอง ก็ในเมื่อสุดท้ายแล้วเขาก็ไม่มีทางให้เลือก

ความคิดที่จะหนีออกจากเมืองนี้คงต้องหายวับไปกับตาเมื่อแม้แต่เงินเขาก็ไม่มี ทุกสิ่งทุกอย่างดูเหมือนมันจะเป็นไปไม่ได้เอาเสียเลยในสถานการณ์เช่นนี้ เขาหมดหวังหรือบางทีเขาอาจจะเลิกหวังกับมันไปนานเสียแล้วก็ได้

เจนเซ่นเหลือบมองชายหนุ่มร่างสูงผู้ที่กำลังตั้งหน้าตั้งตากับการทำซุปจานร้อนอยู่ในห้องครัวโดยไม่มีทีท่าว่าจะสนใจเขาที่กำลังนั่งมองตนเองอยู่ที่เตียงตัวเดียวภายในห้องแห่งนี้ ผ้าเช็ดหน้าผืนสีเขียวถูกคาดไว้ที่หน้าผากของชายหนุ่มกันเส้นผมไม่ให้ตกลงมาใส่ตา รวมเข้ากับผ้ากันเปื้อนสีเดียวกันผูกคาดหลวมๆอยู่ที่เอว ภาพตรงหน้าราวกับความฝันที่เขาเคยฝันเมื่อนานมาแล้ว ถ้าเขาไม่รู้ตัวว่าเขามีสติอยู่ล่ะก็บางทีภาพตรงหน้าเขาอาจจะคิดว่ามันเป็นแค่ภาพลวงตาที่มันไม่มีวันเป็นจริงก็เป็นได้

ชายหนุ่มดูตั้งหน้าตั้งตากับสิ่งที่ตนทำอยู่เป็นอย่างมากจนเขาไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยขัดจังหวะ เขาไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่าจาเร็ดเข้ามาในห้องเขาได้อย่างไร แต่ดูเหมือนเขาจะไม่ตกใจมากนักเมื่อคนตรงหน้าที่เป็นคนทำ หากเป็นคนอื่นเขาคงหัวใจวายและสติแตกเป็นแน่ อะไรกันที่ทำให้คนๆนี้ดูเหมือนจะทำให้เขารู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก

เขาไม่รู้ว่าเขานั่งอยู่ตรงนั้นนานเพียงใด แต่ภาพตรงหน้าราวกับมีอะไรมาตรึงความรู้สึกของเขาให้จดจ่ออยู่กับมัน ถ้าเป็นไปได้เจนเซ่นก็อยากจะหยุดช่วงเวลานี้ตลอดไป พอกันทีกับเรื่องราวในอดีต ไม่แน่บางทีเขาอาจจะสามารถตั้งตัวกับชีวิตใหม่ก็เป็นได้ถ้าหาก....เขาพบจาเร็ดเร็วกว่านี้ เจนเซ่นมองภาพตรงหน้าด้วยดวงตาเศร้าสร้อย เขารู้สึกได้ถึงความชื้นน้อยๆที่อยู่ตรงขอบตา ก่อนเขาจะยกมือหนึ่งปัดมันออกไปอย่างรวดเร็วเมื่อจาเร็ดหันมายิ้มให้กับเขา

“สวัสดีตอนเช้า นายนี่ขี้เซาเหมือนกันนะ ชั้นทำอาหารเช้าให้น่ะ”

“ทำไมนายถึงมาที่นี่อีก แล้วนายเข้ามาได้ยังไงทั้งๆที่ไม่มีกุญแจ” เขารู้ตัวว่าเขาอาจจะทำร้ายความรู้สึกของคนตรงหน้า แต่เขาไม่อาจปล่อยใจตัวเองให้ไว้ใจในคนผู้นี้ได้ จาเร็ดยังมีอีกหลายๆเรื่องที่เขายังคงสงสัยและไม่เข้าใจในตัวของชายผู้นี้

“ก็เมื่อคืนนายดูท่าไม่ค่อยดีเสียเท่าไรชั้นก็เลยแวะมาดู ส่วนเรื่องกุญแจ ชั้นไม่จำเป็นต้องมีกุญแจหรอก นายมีความลับชั้นก็มีความลับเหมือนกัน” จาเร็ดยกนิ้วชี้จรดอยู่ที่ริมฝีปากของตนพลางยิ้มให้เขาด้วยความใสซื่อก่อนจะยื่นชามใบหนึ่งที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนส่งมาให้

“เอ่อ ชั้นเอาจานชามบางส่วนจากที่ห้องชั้นมาให้น่ะ เห็นห้องนายไม่ค่อย...จะมีอะไรเสียเท่าไร” ประโยคหลังดูเหมือนจะเบาลงจนเหมือนพูดกับตัวเองเสียมากกว่า แต่เจนเซ่นกลับได้ยินทุกถ้อยคำซึ่งเขาชาชินกับคำพูดแค่นี้เสียแล้วล่ะ

“เอ้อ..ขอโทษ ชั้นไม่ได้ตั้งใจจะพูดอย่างนั้น” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นราวกับเขารู้ว่าเจนเซ่นได้ยินประโยคเหล่านั้น ชายหนุ่มทำท่าทางราวกับจะเอาหัวตัวเองเขกโต๊ะก็ไม่ปาน

“นายไม่ต้องห่วงหรอก ชั้นดูแลตัวเองได้” เจนเซ่นยิ้มบางๆให้ชายหนุ่ม รอยยิ้มซึ่งหาได้ยากนักสำหรับเขาในตอนนี้ ถ้าเขาเจอจาเร็ดเร็วกว่านี้ บางทีเขาอาจจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้ก็เป็นได้

“เอ๋ ทำไมแผลนายหายเร็วจัง ดีขึ้นกว่าเมื่อวานตั้งเยอะแหนะ” เสียงหัวใจเต้นไม่เป็นส่ำภายในอกของเขาดังกึกก้องอยู่ในหู อย่านะ เขาไม่อยากให้จาเร็ดต้องรู้ความลับของเขา

เจนเซ่นไม่อาจหาคำพูดใดมาขัดได้ ได้แต่เบือนหน้าหนีไปอีกทาง ไม่อยากให้อีกฝ่ายเห็นสีหน้าของเขาในตอนนี้ ความรู้สึกที่เหมือนถูกต้อนจนจนมุม ก่อนเขาจะรีบเปลี่ยนเรื่องถามชายหนุ่มไปทันที “วันนี้นายไม่ไปทำงานเหรอ”

จาเร็ดดูเหมือนจะแปลกใจเล็กน้อยกับการเปลี่ยนข้อหัวในการสนทนาในครั้งนี้ แต่ชายหนุ่มก็ไม่สนใจอะไรมากนัก ก่อนจะผิดหวังเล็กน้อยที่เจนเซ่นไม่อยากให้เขาอยู่ต่อ แต่ความรู้สึกลึกๆของเขานั้น เขาก็ไม่แน่ใจในตัวเองเหมือนกันว่าเขาต้องการให้ชายผู้นี้อยู่ต่อหรือไม่

“โอเค นายจะไม่เป็นไรใช่ไหม” ชายหนุ่มร่างสูงถอดผ้ากันเปื้อนของตนออกก่อนเปิดน้ำก๊อกเพื่อทำความสะอาดมือของตน พลางหันหน้ามามองเขาเมื่อไม่ได้รับคำตอบ

“ชั้นไม่เป็นไร” เจนเซ่นได้แต่ก้มหน้าตอบออกไปโดยที่แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่แน่ใจเสียเท่าไรนักว่าเขาจะทำตามอย่างที่ตนพูดได้ไหม

จาเร็ดพยักหน้าให้เขาเล็กน้อยเป็นการตอบรับก่อนจะจดเบอร์โทรศัพท์ของตนเพื่อให้เขาโทรศัพท์หาหากมีอะไรที่ต้องการหรือให้ช่วย แล้วชายหนุ่มจึงบอกลาพลางขอตัวไปทำงานที่ร้านก่อนจะโดนเจ๊โซเฟียว่าเอา น้ำเสียงของจาเร็ดมีความกังวลเล็กน้อยผสมปนเปไปกับความรู้สึกผิดหวังกับการที่จะต้องจากลาเจนเซ่น

เจนเซ่นนั่งอยู่นิ่งๆสักพักแล้วจึงหยิบช้อนขึ้นมาชิมซุปที่จาเร็ดเป็นคนปรุงเองกับมือก่อนที่ซุปจะเย็นชืดเสียรสชาติเสียก่อน น้ำตาสายเล็กๆไหลไปตามโหนกแก้มก่อนจะหยดลงบนฝ่ามือข้างที่ถือชามใบใหญ่ที่เต็มไปด้วยซุปร้อนๆจากฝีมือคนที่น้อยนักที่จะจริงใจต่อเขา

ทำไมคนดีๆอย่างจาเร็ดถึงมาสนใจเขากัน เขามีค่าพอสำหรับจาเร็ดอย่างนั้นหรือ ตั้งแต่เขายังเด็กเพื่อนวัยเดียวกันกับเขาไม่มีใครเลยที่จะมาใส่ใจว่าเขาจะรู้สึกอย่างไร ว่าเขาจะโดนแกล้งเท่าไร รวมถึงจาเร็ดในตอนนั้นด้วย จาเร็ดไม่เคยออกตัวมาช่วยเขาก่อน ถึงแม้ว่าจาเร็ดจะมาคอยปลอบใจเขาอยู่ภายหลัง แต่เรื่องนั้นเขาก็เข้าใจดี คงไม่มีใครอยากถูกรังเกียจไปด้วยหรอก แต่ทำไมถึงต้องมาทำดีเอาตอนนี้

ความสุขนี้มันจะอยู่กับเขานานอีกสักเท่าไรกันนะ เขาไม่รู้ว่าความสุขที่เขาได้รับมันหลอกลวงหรือเกิดจากความเล่นสนุกของคนตรงหน้าที่คอยมาปั่นหัวเขา แต่มันก็ทำให้เขารู้สึกดีและมีความสุข ถ้าเขาซื้อเวลาเหล่านั้นได้ เขาคงยอมแลกแม้กระทั่งชีวิตของเขาเพื่อยืดช่วงเวลาที่เป็นสุขนี้ให้ยาวขึ้นอีกสักนิด

บางครั้งคำถามต่างๆนานาที่เขาไม่อาจหาคำตอบให้มันได้ก็ผุดเข้ามาในหัวของเขาอยู่บ่อยครั้ง บ้านของเขาอยู่ที่ไหนกันนะ สถานที่ที่เขาจะต้องกลับมาทุกครั้ง สถานที่ที่มีแต่ความอบอุ่น มันจะมีไหมนะสถานที่แบบนั้น เมื่อเขายังเด็กเจนเซ่นมักจะอิจฉาเด็กที่มีอายุรุ่นเดียวกันกับเขา ทำไมพ่อแม่ของเด็กคนนั้นถึงไม่เคยว่าอะไร ทำไมครอบครัวนั้นถึงมีความสุขอยู่ได้แม้ว่าลูกของตนจะเรียนไม่ดี ทำไมไม่ว่าเด็กคนนั้นจะทำผิดเท่าไรพ่อแม่ของเธอก็มักจะให้อภัยเธออยู่เสมอ แล้วทำไมเขาถึงต้องโดนทำโทษทุกครั้งทั้งๆที่เขาไม่ได้ทำอะไรผิด

เจนเซ่นเอื้อมมือไปหยิบสมุดเล็กเล่มสีดำเงาที่เป็น Journal ของเขา หวังจะเขียนความในใจที่ตนมีลงไปในสมุดเล่มนี้ หากแต่ไม่ว่าเขาจะสรรหาคำอะไรมาเขียน ก็ดูท่าจะไม่มีอะไรออกมา สุดท้ายเขาก็ปิดสมุดเล่มนั้นลงก่อนจะเขวี้ยงมันออกไปนอกเตียง เขาส่งเสียงในลำคออย่างหงุดหงิดกับตนเอง

ชายหนุ่มล้มตัวลงบนเตียงอีกครั้งหนึ่งพลางหยิบเศษกระดาษเล็กๆขึ้นมาอ่านซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก่อนตัดสินใจกดหมายเลขตามเศษกระดาษใบเล็กนั่น เขานั่งรออยู่นานก่อนจะมีคนตอบรับที่ปลายสาย

“จาเร็ด..” ในวินาทีแรกที่มีคนรับสายเขาเกือบจะตัดสายนั้นทันที แต่ท้ายที่สุดเขาก็ไม่ทำ

“เจนเซ่น?? นายไม่เป็นไรใช่ไหม” เสียงของชายหนุ่มดูกังวลอย่างเห็นได้ชัดจนเขารู้สึกผิดที่โทรหาชายหนุ่ม

“ชั้นไม่เป็นไร แค่เบื่อนิดหน่อยน่ะ” เขาไม่คิดว่าเขาจะพูดประโยคนี้ออกไป แต่มันก็จริงที่เขาเบื่อและไม่มีอะไรทำ บางทีเขาควรจะเริ่มหางานทำอีกครั้งหนึ่งก่อนที่เขาจะไม่มีเงินใช้ และเขาจะไม่มีทางอยู่อย่างนี้โดยคอยกินเงินของจาเร็ดเป็นแน่ เขาไม่อยากเป็นคนที่ไร้ค่าเช่นนั้น

“งั้นเย็นนี้นายว่างไหม เราออกไปเดินเล่นสูดอากาศข้างนอกก็ดีเหมือนกันนะ” เรา อย่างนั้นหรือ แต่มันเป็นคำพูดที่ดูอบอุ่นอย่างแปลกประหลาด เหมือนมันไม่ได้มีแค่เขาตัวคนเดียว

“เอ่อ...อืม..ว่างๆ ว่างสิ” เขารู้สึกตัวเองงี่เง่าที่ส่งน้ำเสียงเช่นนั้นออกไป จาเร็ดบอกลาก่อนจะวางสายไป

เจนเซ่นนั่งอยู่กับที่อยู่พักใหญ่ รอยยิ้มประดับบนริมฝีปากบางพลางหน้าขึ้นสีเรื่อๆเล็กน้อย เขาขยับตัวไปมาภายในใต้ผ้าห่ม รู้สึกอะไรบางอย่างที่ไม่คุ้นเคย ก่อนจะหยิบสมุดเล่มเดิมขึ้นมาเขียนข้อความที่อยู่ในใจลงไป

8 JUNE 2008

มันเป็นความรู้สึกที่บอกไม่ถูกและไม่สามารถที่จะบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ ผมรู้สึกเบื่อกับสิ่งที่ผมเป็นและเคยเป็น จนบางครั้งผมกลับแปลกใจตนเองว่าทำไมผมถึงอยู่จนมาถึงทุกวันนี้ ในเมื่ออีกไม่นานผมก็คงต้องกลับไปอยู่ในที่ๆผมหนีมาไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าจะทรมานตนเองในการมีชีวิตอยู่ต่อไปทำไม ในเมื่อจุดจบของผมถูกกำหนดไว้แล้ว ผมก็คงขอเพียงกอบโกยความสุขที่มีอยู่ในตอนนี้ก่อนที่ผมจะจากไป จาเร็ด...ชื่อของคนๆนี้ยังคงติดตรึงอยู่ในความทรงจำดีๆของผม ไม่ว่าจะความทรงจำในวัยเด็กจนถึงเดี๋ยวนี้ มันทำให้ผมอดคิดในใจไม่ได้ว่าทำไมไม่เคยมีครั้งไหนที่ผมจะหันมามองชายผู้นี้ตรงๆเสียที ผมรู้ตัวเองว่าผมยังคงไม่เชื่อใจในจาเร็ดอย่างเต็มร้อย แต่คนที่คอยอยู่เคียงข้างผมมาตลอดก็คือเขา แม้ว่าเขาจะไม่เปิดใจทุกครั้ง ผมรู้ว่าจาเร็ดคงไม่อยากเป็นเพื่อนกับผมในที่สาธารณะให้ใครต่อใครได้เห็น มันคงน่าอับอายที่เป็นเพื่อนกับคนที่อ่อนแอเช่นนี้ แต่ไม่เป็นไรหรอก ผมเข้าใจเขาดี...

เจนเซ่นถอนหายใจกับตนเองเมื่ออ่านทบทวนกับสิ่งที่ตนเองเขียนลงไป มันมักจะมีเรื่องแย่ๆผุดขึ้นมาในหัวของเขาอยู่เสมอ เขาหน่ายใจกับตนเองที่เขียนมันลงไปราวกับมันเป็นจดหมายบอกลาก็ไม่ปาน ชายหนุ่มบิดข้อมือเล็กน้อยเพื่อคลายความเมื่อยล้าก่อนจะลงมือเขียนอีกครั้งหนึ่ง

ไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ใด ที่นั่นก็ดูเหมือนจะไม่ดีพอสำหรับเขา หรือเป็นที่ตัวเขากันแน่นะที่ไม่อาจเข้ากับสถานที่เหล่านั้นได้ ไม่ว่าจะเป็นโรงเรียน ที่บ้าน หรือแม้แต่ที่นี่ เขาอยากจะมีสถานที่ที่เป็นของตัวเอง ที่ๆเขาสามารถอยู่ได้โดยไม่ต้องกลัวใครจะมาทำร้าย สถานที่ๆเขารู้สึกอบอุ่นราวกับเหมือนบ้านที่เขาไม่เคยมี สถานที่นั้นมันจะมีไหมนะ

There's no place like home. BUT WHERE’S MY HOME ?

~***~

“เจนเซ่น นายลองมองไปตรงนั้นสิ สวยใช่ไหมล่ะ” ชายหนุ่มเจ้าของชื่อหลุดจากความคิดของตนก่อนจะมองไปตามที่ชายร่างที่สูงกว่าเป็นคนชี้ออกๆป

“วิวจากตรงนี้น่ะ สวยที่สุดเลยนะ ชั้นมักจะชอบมาถ่ายรูปกับดูวิวบนนี้บ่อยๆ” ไม่มีครั้งไหนที่เขาคนนี้จะทำให้เขาไม่สบายใจ เจนเซ่นกระชับเสื้อหนาวตัวเดียวที่ตนมีอยู่ซึ่งดูเหมือนมันจะไม่สามารถต้านทานลมเท่าไหร่นักเมื่ออยู่บนสถานที่ๆสูงเช่นนี้

เขาส่งยิ้มให้กับชายหนุ่มเป็นการแทนคำตอบ ลมหนาวที่พัดมาแทบทำให้เมือของเขาแข็งไปถึงขั้วกระดูกดำ ยังไม่รวมจมูกที่แดงกล่ำจนลามไปถึงใบหู จู่ๆความรู้สึกอบอุ่นก็ครอบคลุมไปทั้งร่างกายเมื่อชายอีกคนนำผ้าพันคอของตนเองมาพันให้แก่เขา เจนเซ่นเงยหน้ามองชายหนุ่มด้วยความแปลกใจระคนตกใจ สีที่แก้มและใบหูทั้งสองข้างแดงกล่ำจนแม้แต่ตัวเขาเองในตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าเพราะความหนาวหรือความอายกันแน่

เขาไม่อยากปล่อยใจตัวเองไปให้มากกว่านี้ เขารู้ว่าความรู้สึกของคนเรานั้นไม่อาจบังคับได้ แต่เขาก็อยากจะแน่ใจกับตัวเองอีกสักนิด เขาไม่เคยมีความมั่นใจในตนเอง เพราะพ่อมักจะบอกว่าเขาไร้ค่าอยู่เสมอ ทำอะไรก็ไม่เคยถูกใคร เขาไม่อาจคู่ควรกับคนที่ดีและอ่อนโยนอย่างจาเร็ดได้ เขาไม่อาจปล่อยใจของตนให้รักได้อีกครั้งหนึ่ง หรือบางทีมันอาจจะเป็นเพราะความกลัวที่เกาะกุมอยู่ภายในหัวใจของเขาก็เป็นได้

วิวาในค่ำคืนนี้ยังคงติดตรึงอยู่ในความทรงจำของเขา เขาให้สัญญากับตนเองว่าจะไม่มีวันลืมวันๆนี้เป็นอันขาด วันที่เขารู้สึกราวกับตนเองมีชีวิตอีกครั้งหนึ่ง และเขาจะไม่ปล่อยตัวเองให้ทำลายวันนี้อย่างเป็นอันขาด ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม

ชายหนุ่มกระชับผ้าพันคอของอีกฝ่ายแน่น ฝ่ามือหนาโอบกอดเข้าที่บ่าของเขาเพื่อเพิ่มความอบอุ่น เขาไม่อาจห้ามใจตัวเองได้ ได้แต่ปล่อยให้ร่างกายตอบสนองกับความต้องการของส่วนลึกของจิตใจ เจนเซ่นโอนเอียงศีรษะซบเข้ากับอกของผู้ที่สูงกว่า วันๆนี้เป็นวันที่เขารู้สึกกับคำว่าความสุขเป็นครั้งแรก

TBC...

A/N : หลังๆแอบสารภาพว่าไม่ได้อ่านทวนอีกรอบก่อนลงเลย ฮา แต่งมาตั้งแต่สองปีที่แล้ว อับอายสำนวนภาษาตัวเอง =[]=! ขอแอบแทรกนิส เรื่องข่าวหมั้นจาเร็ด อ้ากกกกกกก ปีที่แล้วก็เจนเซ่น ปีนี้ก็จาเร็ด จะรีบหมั้นกันทำไม๊ ขอเปลี่ยนจาก Gen เป็น Jen แทนได้มะ??? หัวใจแม่ยกสลาย ฮืออออออออ แต่น่าแปลกที่ไม่ค่อยได้เห็นสองหนุ่มอยู่กับแฟนของตัวเองสักเท่าไหร่ (เพราะเห็นอยู่ด้วยกันมากกว่า ฮา) หรือนั่นเพราะเราคิดไปเอง? ม่ายจริ๊งงงงงง

rps, supernatural, au, nc-17, fanfiction, j2, thai, fic : it's too different

Previous post Next post
Up