It’s Too Different
Author : Raiden
Fandom : Supernatural RPS
Pairing/Characters : Jared/Jensen , OCs
Rating : NC-17
Language : Thai
Warning : m/m , AU , angst , emotional abuse , child abuse , graphic violence , this story is sequel Raindrops Of Destiny you should read that first
Word count : 31,790 words
Spoilers : None.
Disclaimer : I own them in my dream.
Summary : Jensen moved to Los Angeles. He wants the new started in his life but it’s too much memories that he don’t want to remember.(sorry for my summary b/c my poor English and read the warning again don’t tell me I didn’t warn you.)
Because of you
I never stray too far from the sidewalk
Because of you
I learned to play on the safe side
So I don't get hurt
Because of you
I find it hard to trust
Not only me, but everyone around me
Because of you…I am afraid
Because of You - Kelly Clarkson
Chapter Six : Day By Day But You Never Learned
เขาไม่รู้ว่าวิ่งมานานเท่าไร และไม่รู้ว่ากำลังวิ่งไปที่ใด ราวกับมันผ่านมาเป็นชั่วโมงที่เขาอยู่ท่ามกลางสายฝนกระหน่ำเช่นนี้ ได้ยินเพียงเสียงฝีเท้าของตนและเสียงของฝนที่ห่าลงมาจากฟากฟ้า เขาไม่สนใจหรอกว่าเขาจะตากฝนนานแค่ไหน หรือจะหนาวเพียงใด ก็ในเมื่อ...เขาไม่มีวันป่วยอยู่แล้ว เรื่องนี้เท่านั้นที่คงต้องขอบคุณคนๆนั้น
ชายหนุ่มร่างสูงหากแต่ดูซูบเซียวหยุดวิ่งลง สายตาจดจ่ออยู่กับแอ่งน้ำหลายแอ่งที่ไหลนองอยู่บนพื้นคอนกรีตแข็งๆ เขาเห็นใบหน้าตนเองสะท้อนส่องกลับมายังสายตาของเขา บาดแผลดูเหมือนจะหายไปอย่างรวดเร็วเมื่อเทียบกับหลายวันก่อน ซึ่งถ้าเป็นคนอื่นล่ะก็อาจถึงขั้นต้องนอนโรงพยาบาลสัก 2-3 อาทิคย์ หากแต่เขาไม่ใช่ใครคนอื่น บาดแผลของเขาหายเร็วกว่าคนปกติธรรมดาทั่วไปรวมทั้งเขามีภูมิคุ้มกันมากกว่าคนอื่นเสียด้วย ส่วนเรื่องราวว่าทำไมเขาถึงเป็นแบบนี้ เขาไม่ค่อยอยากจะนึกถึงความทรงจำเหล่านั้นสักเท่าไรนัก
เขาก็เป็นแค่ถุงทรายให้ครอสดีๆนี่เอง
ครอส...เรื่องเงิน 2 ล้านภายใน 3 วันนั่น เขาลืมไปจากหัวสมองเสียสนิทเลย ซึ่งนี่ก็ผ่านมาเป็นเวลาร่วม 5 วันได้แล้ว นี่เขามัวไปทำอะไรอยู่นะ ไม่แน่บางทีถ้าเขาพยายามขอยืมใครสักคนบางทีมันอาจจะ...นี่เขาคิดอะไรอยู่กันแน่ ทำไมถึงไปตั้งความหวังให้กับเรื่องแบบนี้ คิดว่าถ้าตัวเองได้เงินมา ครอสจะยอมปล่อยเขาไปง่ายๆอย่างนั้นหรือ เจนเซ่นได้แต่สถบทตนเองอยู่ในใจ
ชายหนุ่มหยุดครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่กับเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ เขาอยากมีใครสักคนที่อยู่เคียงข้าง อย่างน้อยมันก็ทำให้ความรู้สึกปลอดภัยเหมือนมีใครคอยดูแลหลัง ไม่ใช่อยู่ตัวคนเดียวแบบนี้ เขาควรจะติดต่อชายที่ชื่อว่า จาเร็ดดีไหม แต่ในทางกลับกันก็ไม่อยากจะไว้ใจใครอีกต่อไปแล้ว ทุกครั้งที่เขาเชื่อใจใคร มันก็มักจบลงที่ตัวเขาเองเป็นคนต้องเจ็บทุกครั้ง เรื่องบางเรื่องเราก็ควรปล่อยให้มันจบอยู่อย่างนั้น ยิ่งยืดเยื่อเท่าไรมันก็อาจจะยิ่งแย่มากเท่านั้น
สุดท้ายเมื่อเขาทนไม่ไหว เจนเซ่นก็ต้องหยุดแวะร้าน Family Mart เพื่อซื้อของไว้ลงท้อง ก่อนที่มันจะกัดกินกระเพาะของเขาจนเป็นรูพรุน สายตาทั้งสองกวาดไปทั่วชั้นวางของ เขาเลือกที่จะควานหาบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเดิมๆที่เขาเคยกิน เขาไม่เคยลองหยิบรสชาติใหม่ขึ้นมาดู แม้ว่าอยากจะลอง หากแต่ความกลัวก็ชนะเขาทุกครั้ง
หลังจากที่เขาจ่ายตังค์เสร็จ เขาเหลือบมองดูเงินในกระเป๋าตังค์ที่เหลือยอยู่น้อยนิด ถ้าหากเขาไม่รีบหาเงินล่ะก็ ในเร็วๆนี้เขาคงจะต้องอดตายอย่างแน่นอน
เจนเซ่นเดินกลับที่พักอาศัยของเขาด้วยใจที่ห่อเหี่ยวกับชีวิตตนเอง เมื่อความสุขไม่มาเยือน สิ่งต่างๆที่อยู่รอบกายก็ดูจะไร้ความหมาย ไม่ว่าจะเป็นรสชาติอาหาร ความรู้สึกของแสงแดดอ่อนๆในยามเย็น หรือแม้แต่ความรู้สึกเมื่อสายลมปะทะเข้ากับใบหน้า ชายหนุ่มหลับตาแน่นสนิท เขาไม่อยากจะร้องไห้อีกแล้ว ราวกับทุกอย่างมันถ่าโถมเข้ามาในร่างกาย
พร้อมๆกัน เขาโมโหและร้องไห้ แต่เขารู้ว่าน้ำตานั่นไม่ได้มีไว้สำหรับวันนี้ เจนเซ่นค่อยๆลืมตาของตนขึ้นเมื่อแน่ใจแล้วว่าจะไม่มีน้ำตาสักหยดไหลออกมาให้เห็น
พอรู้สึกตัวอีกทีเขาก็ยืนอยู่หน้าห้องของตนเสียแล้ว ชายหนุ่มล้วงมือลงในกระเป๋ากางเกงเพื่อควานหากุญแจดอกเล็ก เขาหยิบมันขึ้นมาก่อนจะหลุดมือและล่วงหล่นลงไปยังพื้นปูนซีเมนส์ เสียงโลหะดังก้องไปทั่วบริเวณทางเดิน หญิงชราที่อยู่ห้องข้างๆมองเขาด้วยสายตาที่เขาไม่อาจล่วงรู้ได้ เจนเซ่นรู้สึกไม่ดีกับเหตุการณ์ตรงหน้าก่อนจะรีบก้มหยิบกุญแจอย่างรวดเร็ว และไขมันเข้ากับลูกบิดประตูด้วยมือที่สั่นเทา
หรือบางทีเขาควรจะไปขอความช่วยเหลือจากจาเร็ดจริงๆเสียแล้ว เด็กชายที่ขโมยจูบแรกของเขาไปเมื่อกลางปีตอนที่เขาเพิ่งอายุ 8 ปีไปได้ไม่นาน ทีแรกเขาไม่แน่ใจตัวเองเหมือนกันว่าอะไรกันที่ทำให้เขานึกเรื่องอย่างนี้ออก ซึ่งความจริงแล้วความรู้สึกในตอนนั้นมันยากนักที่จะโผล่เข้ามาในความคิดของเขาก็ในเมื่อสิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนั้นคือ การเรียน สิ่งเดียวที่จะทำให้พ่อของเขาพอใจ ถ้าเขาเรียนเก่งกว่านี้ล่ะก็ บางทีเรื่องร้ายๆที่เกิดขึ้นมันอาจจะเป็นเพียงความฝันก็ได้
ชายหนุ่มสะดุ้งสุดตัวเมื่อเสียงเคาะที่ประตูดังขึ้น ก่อนจะเครียดกว่าเก่าเมื่อผู้ที่เคาะประตูนั้นมาเพื่อส่งจดหมายให้แก่เขา ซองสีน้ำตาลบางๆขนาด A4 ถูกสอดเข้ามาทางล่องใต้ประตู บางทีอาจจะเป็นค่าไฟ เขาช่างใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะลุกขึ้นไปหยิบจดหมายฉบับนั้นขึ้นมาดูผู้ที่จ่าหน้าซอง เขาอดแปลกใจไม่ได้ว่าใครกันที่ส่งจดหมายมาให้เขา ซึ่งเขาพบว่าจดหมายฉบับนี้ไม่มีชื่อผู้ส่ง เขาไม่ใช่คนโง่ นั่นหมายความว่าผู้ที่ส่งมาให้เขานั้นตอนนี้ต้องอยู่ที่นี่และเป็นผู้ยื่นจดหมายนี้ด้วยตัวเอง และมันคงไม่ใช่เรื่องดีอย่างแน่นอนที่มีคนรู้เรื่องที่อยู่ของเขา!!!
ภายในจดหมายไม่มีอะไรมากนัก นอกจากเศษกระดาษหนังสือพิมพ์ที่ถูกฉีกออกมากับซองกระดาษอีกซองหนึ่งที่มีข้อความเขียนอยู่สั้นๆว่า “For Jensen” เขาคลี่เศษหนังสือพิมพ์ออกมาอ่านด้วยมือที่สั่นเทาก่อนจะเบิกตาโพรงด้วยความหวาดกลัว เมื่อข้อหัวถูกจ่าในหนังสือพิมพ์ไว้ว่า ลูกชายนักวิทยาศาสตร์ชื่อดังขายตัวตั้งแต่อายุ 16 ปี
ไม่มีทาง....เขาไม่เคยทำเรื่องอย่างนั้น แม้ว่าชีวิตของเขาจะแย่แค่ไหน แต่ไม่มีทางที่เขาจะทำเรื่องสกปรกอย่างนั้น
เขารู้สึกได้ถึงการลุกชั้นของขนที่สันหลัง ราวกับรู้สึกได้สายตาที่บ่งบอกถึงความน่ารังเกียจทิ่มแทงมายังเขา เขาพยายามทำทุกอย่างเพื่อคนๆนี้ แต่ก็ไม่มีเลยสักครั้งที่พ่อของเขาจะพอใจในและภาคภูมิใจในการกระทำของเขา ถ้าข่าวนี้ไปถึงหูพ่อล่ะก็ เขาคงต้องเฝ้ารอแต่เพียงการพาตัวกลับไปเท่านั้น
เจนเซ่นลังเลกับจดหมายอีกซองหนึ่งที่วางอยู่ข้างๆเศษกระดาษหนังสือพิมพ์ที่เขาเพิ่งจะอ่านจบไปได้ไม่นาน ใจหนึ่งรู้สึกกลัวกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น หากอีกใจกับเต็มไปด้วยความสงสัย บรรยากาศรอบข้างดูจะเงียบลงราวกับมีอะไรมาปิดอยู่ที่หูของเขา ได้ยินเพียงเสียงการเต้นของหัวใจที่ดังก้องอยู่ในหูทั้งสองข้าง ชายหนุ่มกลืนน้ำลายก้อนโตก่อนจะตัดสินใจเปิดซองจดหมายนั้นขึ้นมา
ใบหน้าของชายหนุ่มซีดเซียวกว่าเก่าเมื่อเขายกรูปถ่ายปึกหนึ่งขึ้นมาดู ก่อนจะปล่อยมันไปอย่างรวดเร็วราวกับมีไฟฟ้าช็อต รูปถ่ายหลายใบหล่นกระจายเต็มไปทั่วพื้นห้อง เจนเซ่นคุกเข่าลงอย่างห้ามไม่อยู่ มือที่สั่นเทาทั้งสองข้างยกขึ้นขยุ้มเข้ากับเส้นผมของตน ไม่...ไม่..อย่า..ได้โปรดใครก็ได้ หยุดมันที หายใจเข้า...หายใจออก...เขาต้องห้ามตัวเองอยู่ ดวงตาปิดแน่นสนิทอยากจะหนีออกไปจากที่หนีให้ไกลแสนไกล เฝ้าแต่ภาวนาว่าเมื่อไรที่ฝันร้ายนี้จะสิ้นสุดลง เขาเปล่งเสียงกรีดร้องออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ เสียงที่แหบพร่าเปล่งออกมาจากลำคอที่แห้งผาก น้ำตาที่เคยห้ามไม่ให้ไหลกลับไหลออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ แล้วเขาก็ต้องหอบหนักขึ้นเมื่อสายตาเหลือบไปเห็นข้อความที่มากับรูปถ่ายพวกนั้นเข้า “ถือว่านี่คือของขวัญวันเกิดจากฉันแล้วกัน แล้วก็ดูท่าทางพ่อนายคงต้องส่งคนมาเพิ่มในการหาตัวนายแล้วล่ะ”
ความผิดที่เขาไม่ได้เป็นคนก่อขึ้น ไม่ต้องให้ใครมาบอกเขาก็รู้ได้ทันทีว่าใครเป็นคนสร้างเรื่องนี้ขึ้นมา เขาไม่อยากกลับไปอยู่ในกรงขังนั่นอีกแล้ว เขาไม่อาจรู้ได้ว่าครอสส่งรูปพวกนี้ไปที่สถานีตำรวจหรือเปล่า แล้วถ้าส่งคนอย่างเขาจะทำอะไรได้ ถ้าคนของพ่อจับตัวเขาได้ล่ะก็...บางทีเขาอาจจะไม่มีวันได้เห็นแสงตะวันอีกเลย
~***~
ชายผมสีดำสนิทยักยิ้มขึ้นเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงของคนที่เขารู้จักร้องขึ้น เป็นสัญญาณว่าหมอนั่นคงได้รับจดหมายเรียบร้อย ชายหนุ่มทิ้งบุหรี่ที่เหลือนิดเดียวลงกับพื้นก่อนจะใช้เท้าขยี้ลงจนไฟดับ เขายื่นเงินจำนวนหนึ่งให้กับพนักงานตรงเคาเตอร์ ซึ่งน้อยนิดสำหรับเขาแต่คงมากพอสำหรับพนักงานกระจอกๆที่เบิกตาโพรงด้วยความตกใจ เพื่อปิดปากให้บอกคนอื่นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ผมก็แค่ส่งของขวัญให้น้องสุดที่รักในวันเกิดเท่านั้น”
ชายหนุ่มเดินออกจากอพาร์ทเมนท์ไปโดยไม่คิดจะหันกลับมามอง พร้อมกับเข็มของนาฬิกาที่ขยับไปที่เลข XII ทุกเข็ม ก่อนที่เสียงบอกเวลาของนาฬิกาจะดังตามหลังไป...
~***~
ยา...ยา..ไม่มีครั้งไหนที่เขาอยากจะไปหาหมอเพื่อรักษาอาการเหล่านี้ ไม่อยากให้ใครต้องรับรู้กับสภาพอาการเช่นนี้ แต่ครั้งนี้ดูเหมือนเขาจะไม่สามารถต้านทานมันไหวอีกต่อไปแล้ว ถ้ายามันช่วยเขาได้ เขาก็ยินดีที่รับยานั่น
สองมือไขว่ขว้าหายาขวดเล็กๆที่เขาต้องรวบรวมความกล้าอย่างมากในการเข้าไปหาซื้อในร้านขายยาธรรมดาร่วมกับคนแปลกหน้ามากมาย ยาที่เขาซื้อโดยไม่มีใบรับรองแพทย์ ได้แต่อ้างว่าลืมเอาใบรับรองมา ทีแรกคนขายดูจะไม่เชื่อใจเขา แต่...ก็เหมือนกับคนอื่นๆนั่นล่ะ เขาเห็นถึงความแปลกประหลาดในตัวเจนเซ่นที่ไม่ว่าจะพยายามเท่าไรก็ไม่อาจปกปิดได้ สายตาที่มองมาที่เขาด้วยความรังเกียจ สมเพช ก่อนจะยัดยาระงับประสาทนั่นอย่างส่งๆมาให้เขา เจ็บปวดเหลือเกินกับการที่ตนเป็นเช่นนี้ เขาไม่สามารถเลือกที่จะเกิดได้ แล้วก็ไม่สามารถเลือกสิ่งที่จะเป็นได้
มือที่กำขวดเล็กๆสีน้ำตาลสั่นจนยาหกออกมาหลายเม็ด เขารีบกลอกยาเข้าปาก ไม่สนใจว่ากลินเข้าไปกี่เม็ด ขอเพียงแค่มันช่วนระงับอาการสั่นเหล่านี้ก็เพียงพอ เสียงสะอื้นในลำคอดังขึ้น ร่างทั้งร่างเหมือนจะหมดเรี่ยวแรงกับสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้น ชายหนุ่มล้มลงนอนกับพื้น สายตาเหลือบไปเห็นใบมีดโกนหนวดเล็กๆที่ตกอยู่บนพรมไม่ใกล้ไม่ไกลไปจากตัวเขามากนัก
เจนเซ่นเอื้อมมือออกไปหยิบของมีคมชิ้นนั้นขึ้นมาอยู่บนฝ่ามือ แสงระยิบระยับที่สะท้อนออกมาจากใบมีดดูเหมือนจะสวยงามในสายตาเขาขณะนี้ นี่ยาช่วยให้เขามองเห็นสิ่งที่สวยงามขนาดนี้เลยหรือ เขายื่นปลายนิ้วมือข้างหนึ่งไปแตะลงบนคมมีด ก่อนที่ของเหลวเหนียวหนืดจะไหลออกมาเล็กน้อย สายตาเหลือบไปมองทีข้อมือของตน ถ้าเขากรีดลงไปที่ข้อมือเลือดที่ไหลออกมามันจะมากขนาดไหนกัน
ชีวิตของเขาจะได้จบลงเสียทีกับเรื่องทั้งหมอที่เกิดขึ้น เขาจะได้ไม่ต้องกังวลอีกต่อไป บางทีชีวิตข้างหน้ามันอาจจะดีกว่าที่เขาเป็นอยู่ แต่ในทางกลับกันก็กลัวกับสิ่งที่อยู่ในมือของเขา นายมันบ้า บ้า...บ้า นายมันอ่อนแอ ไร้ค่า ไม่เคยแม้แต่จะลุกขึ้นสู้ น่าสมเพชที่สุด สมควรแล้วที่เขาจะไม่เคยเห็นความสำคัญของแก แกมันดีแต่พูด...
“พ่อครับ ครั้งนี้ผมได้เกรดเอทุกตัวเลยนะ”
…
“พ่อครับ...ผมขอโทษ รับรองว่าครั้งหน้าผมจะเอาเกรดเอมาให้พ่อทุกตัว”
…
“พ่อครับ ผมเสียใจ ครั้งหน้าผมจะไม่ทำผิดอีกเป็นครั้งที่สอง”
…
“พ่อครับ...ผมผิดเอง ได้โปรดเถอะ...ผมพยายามอย่างสุดความสามารถแล้ว”
…
“พ่ออย่า!! ได้โปรดอย่าตีผมอีกเลย ผม..ผมพยายาม….แล้ว”
…
“พ่อครับ...พ่อจะรักผมไหม หากผมสามารถนำเกรดเอมาให้พ่อได้ทุกตัว แต่มันคงเป็นไปไม่ได้อีกแล้ว ในเมื่อตัวผมมันไร้ความสามารถ มันถูกแล้วที่พ่อจะไม่รักผม จริงไหมครับ?” เจนเซ่นเอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบาราวกับกำลังล่องลอยอยู่ในอากาศ ในสถาพเช่นนี้ ใครเล่าที่จะต้องการเขาอีก ไม่ต้องสงสัยอีกต่อไปว่าเขาจะวิ่งไปหาจาเร็ดหรือไม่ คนที่ใครๆต่างคิดว่าเป็นอีตัวอย่างเขาจะมีน่าไปขอความช่วยเหลืออีกหรือ
ก่อนที่เขาจะรู้สึกตัวอีกครั้ง ใบมีดที่แหลมคมก็เฉือนเข้าลงบนข้อมือด้านซ้ายของเขา ชายหนุ่มตกใจกับสิ่งที่ตนทำลงไป เขาทำอะไร!!! เขาทำอะไรลงไป ไม่...ไม่.. ชายหนุ่มดิ้นทุรนทุรายพยายามจะห้ามสายน้ำสีแดงข้นให้หยุดไหล หากแต่บาดแผลก็ปิดลงในอีกช่วงอึดใจหนึ่ง
เจนเซ่นหัวเราะกับตัวเองแหยๆ เขาไม่รู้ว่าตนเองควรจะดีใจที่เลือดหยุดไหลดี หรือเสียใจกับการที่บาดแผลเขาสมานตัวเร็วกว่าคนอื่นๆ นี่เขาจะไม่มีวันตายอย่างนั้นหรือ เขาเสียใจกับสิ่งที่เขายอมให้พ่อเขาเป็นคนทำ ทำไมถึงทำแบบนี้กับผม นี่พ่อเห็นเขาเป็นลูกหรือเป็นแค่สัตว์ทดลองกัน...
รังเกียจกับสิ่งที่ตัวเองเป็นและสิ่งที่เกิดขึ้นกับตนเอง ตอนนี้บาดแผลลึกหลงเหลือเพียงแค่ลอยจางๆจากการถูกกรีดเท่านั้น ถ้าความรู้สึกของเขารักษาง่ายเหมือนดังร่างกายของเขาก็คงจะดีไม่น้อย แต่เพ้อฝันไปมันก็ไม่ได้ช่วยอะไรให้ดีขึ้นมา
เขาไม่เคยเรียนรู้กับสิ่งที่ตนเองเคยทำผิดพลาด ได้แต่ทำผิดครั้งแล้วครั้งเล่า พ่อมักบอกเขาอยู่เสมอว่า“คนเราต้องพึ่งอาศัยตัวเองเท่านั้นจึงจะอยู่รอด” แต่ดูเหมือนในตอนนี้เขาจะเป็นเพียงหมาข้างถนนที่ได้แต่คอยกินเศษขยะตามข้างทางไปวันๆ หรือบางทีเขาอาจจะแย่กว่าหมาข้างถนนเสียด้วยซ้ำ
TBC...
ปล. รู้สึกฟิคเรื่องนี้มันมืดมนไปหรือเปล่า?? ตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไปเราไม่ได้ตรวจทานแก้ไขรอบที่สองนะคะ ก่อนหน้านี้เรามีแต่งใหม่+แก้ไขอะไรใหม่นิดหน่อย ขออภัยถ้ามีอะไรผิดพลาดไปนะคะ T^T